ประเด็นสำคัญ
- The Australian Wars เพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จัก หลังศาลตัดสินล้มล้างคำประกาศของกัปตันเจมส์ คุก
- ชนพื้นเมืองลุกต่อต้านการยึดครองของจักรวรรดิอังกฤษตั้งแต่กองเรือขึ้นบกเมื่อค.ศ. 1788
- บันทึกสมัยล่าอาณานิคมและหลักฐานทางโบราณคดีเผยถึงความขัดแย้งที่น่าสลดใจ
กด ▶ ฟังพอดคาสต์ด้านบน
คำเตือน: เนื้อหามีความรุนแรงและอาจกระทบกระเทือนจิตใจ
เมื่อครั้งกัปตันเจมส์ คุก เดินทางมาถึงชายฝั่งที่เรียกว่าออสเตรเลียในปัจจุบัน เขาเคยประกาศเรียกดินแดนนี้ว่าเทอร์รา นูลิอุส (Terra Nullius) แปลว่าดินแดนที่ไม่มีใครครอง
แท้จริงแล้ว ทวีปนี้เดิมเป็นของกลุ่มชนเผ่าอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสหลายร้อยชนเผ่า มีประชากรหลายแสนคน ซึ่งถูกมองว่าเป็นเพียงบริวารของราชวงค์อังกฤษ
สิ่งนี้กลายเป็นชนวนสงคราม ความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าพื้นเมืองและผู้อพยพมาตั้งถิ่นฐานในยุคแรก โดยประวัติศาสตร์อันแสนโหดร้ายนี้เพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จัก
ชาวอาร์รันดา (Arrernte) และคัลคาดูน (Kalkadoon) ผู้สร้างภาพยนต์เรื่อง The Australian Wars เผยถึงซีรีส์โทรทัศน์ที่ออกอากาศเมื่อปีค.ศ. 2022 เรื่องราวการต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนของชนพื้นเมืองจากชาวอังกฤษที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในยุคนั้น
เริ่มที่ชื่อเรื่อง ‘The Australian Wars’ ซึ่งหลายคนไม่เคยได้ยินมาก่อน เราตั้งใจเลือกใช้คำนี้
"เพราะเป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างจักรวรรดิอังกฤษในยุคแรก เมื่อครั้งเข้ายึดครองและอ้างสิทธิ์ในทวีปนี้ จนกลายเป็นรัฐบาลอาณานิคมของออสเตรเลียในปัจจุบัน และเป็นรัฐบาลสหพันธรัฐในเครือจักรภพแห่งออสเตรเลีย
Australian Wars เกิดขึ้นทั่วทั้งทวีป นับตั้งแต่กองเรือชุดแรก (first fleet) เดินทางมาถึงเมื่อปีค.ศ. 1788 จนถึงกลางทศวรรษ 1930 แต่เหตุความขัดแย้งครั้งประวัติศาสตร์นี้กลับไม่ถูกสอนในโรงเรียนหรือไม่ได้รับการยอมรับว่าเกิดขึ้น จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 20
นักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของออสเตรเลียและเชี่ยวชาญด้านสงครามกล่าวว่า เมื่อปีค.ศ. 1966 ที่เขาเริ่มสอนประวัติศาสตร์ แทบไม่มีการกล่าวถึงชนพื้นเมืองในหนังสือเลย
“มีการกล่าวถึงชนพื้นเมืองผ่านๆ เพียงสองครั้งเท่านั้น และไม่มีแม้แต่ในรายการดัชนี เพิ่งจะมีการยอมรับถึงความขัดแย้งไม่นานมานี้ ซึ่งจริงๆ แล้วคือสงคราม เมื่อไม่นานมานี้ แม้มันไม่ใช่สงครามตามภาพที่หลายคนในยุคใหม่เข้าใจกัน”
เพราะมันเป็นสงครามกองโจร
“ภาพที่เป็นสงครามเล็กๆ กระจัดกระจายในหลายพื้นที่ ไม่ดูเหมือนเป็นการทำสงครามสำคัญอะไร"
เพราะไม่มีการใส่เครื่องแบบ ไม่มีทหารเดินทัพ ไม่มีการรวมตัวขนาดใหญ่ และไม่มีการสู้รบตามความหมายของสงครามในยุคปัจจุบัน แต่มันเป็นสงครามรูปแบบหนึ่งอย่างชัดเจนศาสตราจารย์เรย์โนลด์สอธิบาย
ในยุคนั้นมีความขัดแย้งเรื่องชายแดนทั่วทั้งทวีปออสเตรเลีย Source: Supplied / Australian War Memorial
“ตอนนั้นพวกเขารู้ว่าเป็นสงคราม เอกสารอาณานิคมเรียกว่าสงคราม แต่ในศตวรรษที่ 20 และ 21 เราลืมเรื่องนี้ไปแล้ว"
ผมคิดว่าเป็นเหตุผลทางการเมืองที่ไม่ระบุว่ามันเป็นสงครามด็อกเตอร์เคลเมนท์สกล่าว
และเหตุผลทางการเมืองนั้นย้อนกลับไปถึงแนวคิดเรื่องดินแดนที่ไม่มีผู้ใดครองและกฎหมายของจักรวรรดิอังกฤษ
“มีข้อมูลที่ขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นหัวใจของสงครามนี้ เริ่มด้วยวิธีที่จักรวรรดิอังกฤษอธิบายถึงการยึดครองครั้งนี้ พวกเขาประกาศว่าชนพื้นเมืองได้กลายเป็นพลเมืองอังกฤษแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถประกาศสงครามอย่างเป็นทางการได้ เพราะการทำเช่นนั้นหมายความว่าพวกเขาประกาศสงครามกับพลเมืองของตนเอง อย่างไรก็ตามจักรวรรดิอังกฤษได้ใช้กำลังทหารเพื่อให้แน่ใจว่าการยึดครองทวีปประสบความสำเร็จ”
คุณราเชล เพอร์กินส์ ผู้สร้างภาพยนต์ The Australian Wars Credit: Dylan River/Blackfella Films
“ก่อนหน้านั้นชาวอะบอริจินถูกมองว่าไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน ดังนั้นการต่อสู้ของพวกเขาจึงไม่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดิน เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิ์ถือครองที่ดินตามกฎหมาย"
หลังการตัดสินในปีค.ศ. 1992 การมองถึงสงครามในครั้งนั้นเปลี่ยนไป เพราะชัดเจนว่าเป็นสงครามที่เกี่ยวกับการถือครองดินแดนดร.เคลเมนท์สกล่าว
ดร. เคลเมนท์กล่าวว่าการที่จักรวรรดิอังกฤษไม่ยอมรับการที่ชนพื้นเมืองเป็นเจ้าของดินแดนในออสเตรเลียนับว่าเป็นความผิดเพี้ยนทางประวัติศาสตร์
“หัวใจของการล่าอาณานิคมของอังกฤษในออสเตรเลียนั้นมีข้อแตกต่างจากการยึดครองประเทศอื่นๆ ที่ตกเป็นอาณานิคม อังกฤษไม่ยอมรับอธิปไตยของชนพื้นเมืองออสเตรเลีย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีการทำสนธิสัญญา (treaty) ไม่มีความพยายามเจรจากับประชาชนในท้องถิ่น และจนถึงทุกวันนี้เราไม่สามารถมองในมุมกฎหมายเพื่อทำความเข้าใจว่าชนพื้นเมืองมีสิทธิ์ต่อดินแดนอย่างไร”
เอ็ดดี มาโบและทีมทนายที่ศาลสูงออสเตรเลีย Credit: National Museum of Australia
การไม่เจรจานำไปสู่การนองเลือดอันโหดร้าย
บันทึกเรื่องการล่าอาณานิคมและหลักฐานทางโบราณคดีที่ผู้เชี่ยวชาญเปิดเผยแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งที่น่าสยดสยอง
เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่เก็บซากศพของบรรพบุรุษของชาวอะบอริจินไว้กว่า 400 ราย และเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเสียชีวิตโดยการประหารชีวิต การตัดหัว และการสังหารหมู่
คุณเพอร์กินส์กล่าวว่าลูกหลานของผู้ที่รอดชีวิตจะยังคงจดจำเรื่องนี้ตลอดไป
“ชาวอะบอริจินจำนวนมากเป็นผู้สืบทอดประวัติศาสตร์ ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพวกเขาให้ครอบครัวของพวกเขาฟัง"
ฉันโตมากับเรื่องการสังหารหมู่ของบรรพบุรุษของฉันที่รัฐควีนส์แลนด์ และรู้เรื่องที่คุณย่าทวดของฉันถูกข่มขืนอย่างรุนแรง และเรื่องอื่นคุณเพอร์กินส์กล่าว
ที่แทสเมเนียเป็นสงครามชายแดนที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย เกิดขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1824 – 1831
จำนวนของชาวอังกฤษที่เสียชีวิตในสงครามแบล็ก วอร์ มีมากกว่าที่เสียชีวิตในเกาหลี มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนามรวมกัน
ดร. เคลเมนท์กล่าวว่าฝ่ายจักรวรรดิอังกฤษและผู้ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานยุคนั้นหวาดกลัวชนพื้นเมืองแทสเมเนีย
“การต่อต้านของชาวอะบอริจินนั้นน่าทึ่งมาก ทุกคนจะได้ยินข่าวคนจากอาณานิคมอังกฤษที่ถูกฆ่าหรือถูกทำร้ายโดยชาวอะบอริจิน ที่เผาฟาร์มของพวกเขา มันน่ากลัวมากๆ จริงๆ แล้วหลายคนคิดจะย้ายออกไปจากอาณานิคมนี้”
ภาพแกะสลักค่ายของชาวอะบอริจินในศตวรรษที่ 19 Source: Getty / Getty Images
เราจะเกือบไม่มีลูกหลานชาวอะบอริจินในแทสเมเนียแล้ว เพราะพวกเขาถูกใช้ความรุนแรงกวาดล้างเกือบหมดดร.เคลเมนท์สกล่าว
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่คือความรุนแรงทางเพศ การข่มขืนและลักพาตัวหญิงชนพื้นเมืองเป็นเรื่องปกติ นักประวัติศาสตร์บางท่านเชื้อว่าการอยู่รอดของชาวอะบอริจินบางชนเผ่าเป็นผลจากการล่วงละเมิดทางเพศ
“ชนวนที่จุดประกายความรุนแรงคือความรุนแรงทางเพศ เรื่องราวเกิดจากความไม่สมดุลทางเพศในสังคมอาณานิคม เช่น ที่แทสเมเนีย มีประชากรเพศชาย 10-12 คนต่อหญิง 1 คน และมีหญิงชาวอะบอริจินที่แปลกใหม่และเปลือยเปล่า ที่พวกเขาไม่มองว่าไม่จำเป็นต้องเคารพ”
ไม่มีที่ไหนที่มีการต่อต้านการล่าอาณานิคมของคนผิวขาวได้รุนแรงไปกว่าที่แทสเมเนีย แต่มีชนพื้นเมืองไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิตจาก Black War Source: The Conversation / Robert Dowling/National Gallery of Victoria via The Conversation
“พวกเขาฝึกฝนชนพื้นเมืองให้เป็นนายทหารและใช้เป็นกองกำลัง กลุ่มนี้เป็นกำลังสำคัญในการสลายการต่อต้านของชาวอะบอริจิน ตำรวจพื้นเมืองทำงานเป็นเวลา 50 ปี ขณะที่การตั้งถิ่นฐานขยายเป็นวงกว้างใหญ่ขึ้น”
กองตำรวจพื้นเมืองมีเครื่องแบบ ปืน และม้า ดร. เคลเมนท์สเชื่อว่าพวกเขาถูกควบคุมโดยเจ้าหน้าที่ผิวขาว ซึ่งใช้ความรู้ดั้งเดิมของชนพื้นเมืองและทักษะที่พวกเขาใช้ในป่า
“จำนวนผู้เสียชีวิตโดยตำรวจพื้นเมืองที่เสียชีวิตในรัฐควีนส์แลนด์เพียงรัฐเดียวนับหลายหมื่นคน ผมเชื่อว่าอาจสูงถึง 6 – 8 หมื่นคน ซึ่งน่าตกใจมาก"
เรื่องเลวร้ายต่างๆ นี้สร้างความคลุมเครือด้านจริยธรรมศาสตราจารย์เรย์โนลด์สกล่าว
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
สายสัมพันธ์ที่ยึดโยงชนพื้นเมืองออสเตรเลียกับผืนแผ่นดิน
ประวัติศาสตร์อันโหดร้ายนี้เป็นเรื่องที่คุณเพอร์กินส์ต้องเผชิญระหว่างการถ่ายทำซีรีส์สารคดี The Australian Wars
“ฉันเจอบันทึกที่คุณยายฉันเขียนถึงยายทวดที่ถูกสังหารหมู่ ซึ่งฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่เคยไปสถานที่นั้น ฉันไม่เคยรู้เลยว่ามันเกิดขึ้นที่ไหน จนฉันได้มาทำสารคดีชุดนี้”
ดร. เคลเมนท์สกล่าวว่าชาวออสเตรเลียควรเอาชนะความรู้สึกละอายใจและรณรงค์เรื่องความอยุติธรรมในอดีต
“ไม่ว่าบรรพบุรุษของคุณจะมีส่วนร่วมในเรื่องโหดร้ายหรือไม่ เราทุกคนล้วนเป็นผู้รับมรดกจากชาวอะบอริจิน ซึ่งเป็นดินแดนที่ถูกขโมยไป"
อย่างน้อยที่สุดเราควรมีบทบาทในการเปิดเผยประวัติศาสตร์นี้ ยอมรับมัน และสร้างอนาคตที่ดีดร.เคลเมนท์สกล่าว
ดูซีรีส์ ได้ทาง SBS On Demand ซึ่งมีซับไตเติลภาษาอังกฤษและคำบรรยายสำหรับผู้พิการทางสายตาหรือผู้มีความบกพร่องทางการมองเห็นด้วย
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ความคิดเห็นของชุมชนไทยกับการลงประชามติ Voice to Parliament