ประเด็นสำคัญ
- ราคาขายปลีกเฉลี่ยทั่วประเทศสำหรับน้ำมันไร้สารตะกั่ว 91 อยู่ที่ 2.06 ดอลลาร์ต่อลิตร
- ราคาขายส่งนั้นสูงที่สุดตั้งแต่เดือนเมษายน และราคาที่สูงขึ้นกำลังถูกส่งต่อให้แก่ผู้ขับขี่รถยนต์
- อุปทานน้ำมัน (oil supply) ที่ลดลงกำลังผลักดันให้ราคาน้ำมันให้สูงขึ้น
ราคาน้ำมันได้พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเฉลี่ยทั่วประเทศตลอดทั้งปี เนื่องจากอุปสงค์หรือความต้องการน้ำมันทั่วโลกเพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันอาจอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่ง
ราคาขายปลีกเฉลี่ยทั่วประเทศสำหรับน้ำมันไร้สารตะกั่ว 91 อยู่ที่ 2.06 ดอลลาร์ต่อลิตร ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022 ตามการวิเคราะห์จากเว็บไซต์เปรียบเทียบราคา Compare the Market
ผู้คนในเมลเบิร์นจ่ายค่าน้ำมันมากกว่าคนรัฐอื่น ที่ 2.16 ดอลลาร์ต่อลิตร จากการวิเคราะห์ 5 เมืองของเว็บไซต์ Compare the Market
ราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยในแอดิเลดและบริสเบนยังคงต่ำกว่า 2 ดอลลาร์ต่อลิตร โดยอยู่ที่ 1.94 ดอลลาร์ต่อลิตรในแอดิเลด และ 1.97 ดอลลาร์ต่อลิตรในบริสเบน ในขณะที่ชาวเมืองเพิร์ธจ่ายค่าน้ำมัน 2.05 ดอลลาร์ต่อลิตร และชาวซิดนีย์จ่าย 2.10 ดอลลาร์ต่อลิตร
ราคาขายส่งเฉลี่ยทั่วประเทศ (ราคาที่ปั๊มน้ำมันจ่าย) อยู่ที่ 1.87 ดอลลาร์ต่อลิตรสำหรับน้ำมันไร้สารตะกั่ว 91 และครั้งล่าสุดที่ราคาน้ำมันอยู่ในช่วง 1.80 ดอลลาร์คือในเดือนเมษายน
ทำไมราคาน้ำมันถึงสูงจัง?
ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกอยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ แต่อุปทานอ่อนตัวลง ตามรายงานตลาดน้ำมันของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (หรือไออีเอ IEA) ประจำเดือนสิงหาคม โดยไออีเอให้คำแนะนำด้านนโยบายแก่รัฐบาลเกี่ยวกับภาคส่วนพลังงานทั่วโลก
“ความต้องการใช้น้ำมันของโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนที่แข็งแกร่งจากการเดินทางทางอากาศในช่วงฤดูร้อน การใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นในการผลิตกระแสไฟฟ้า และกิจกรรมปิโตรเคมีของจีนที่พุ่งสูงขึ้น” รายงานของไออีเอระบุ
ราคาน้ำมัน ที่เพิ่มขึ้น 23 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่อยู่ในระดับต่ำช่วงกลางเดือนมิถุนายน ส่งผลให้ราคาขายส่งเชื้อเพลิงในออสเตรเลียอยู่ในระดับสูง
คุณ คริส ฟอร์ด นักวิเคราะห์ด้านเชื้อเพลิงของ Compare the Market กล่าวว่า ราคาขายส่งพุ่งขึ้นมากกว่า 13 เซนต์ต่อลิตรในช่วงเวลาเดียวกัน ส่งผลให้ราคาขายปลีก "จะสูงขึ้นต่อไปอีกสักระยะ" โดยจะนานกว่าวัฏจักรราคาเชื้อเพลิงตามปกติ
เขาอธิบายว่า ราคาน้ำมันที่เราจ่ายที่ปั๊มนั้นได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบ ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นหลังจากการตัดสินใจในเดือนกรกฎาคมของกลุ่มโอเปค+ (OPEC+ กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตรที่นำโดยรัสเซีย) ที่จะลดปริมาณการผลิตน้ำมัน หลังจากตัดลดในเดือนพฤศจิกายน
กลุ่มประเทศโอเปค+ (OPEC+) ผลิตน้ำมันดิบประมาณร้อยละ 40 ของโลก ซึ่งหมายความว่าการตัดสินใจของกลุ่มเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคาน้ำมัน
“ตะวันตกกล่าวหาว่าโอเปค+ ว่าตัดสินใจเช่นนั้นเพื่อปั่นราคาน้ำมัน และกล่าวหาว่าประเทศอย่างซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดนั้น ต้องการให้ราคาน้ำมันยังคงสูงต่อไป” คุณฟอร์ดบอกกับเอสบีเอส นิวส์
“อุปทาน (supply) ที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อราคา แม้ว่าอุปสงค์ (demand) จะเท่าเดิม หากอุปสงค์เพิ่มขึ้น ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก” คุณฟอร์ดกล่าว
สิ่งที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันให้สูงขึ้นไปอีกก็คืออัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ราคาน้ำมันจ่ายเป็นดอลลาร์สหรัฐและการที่ดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงหมายความว่าเราต้องจ่ายมากขึ้นสำหรับปริมาณเท่าเดิม
ราคาน้ำมันจะสูงไปอีกนานแค่ไหน?
ราคาอาจอยู่ในระดับสูงเป็นเวลาหลายสัปดาห์หากเงินดอลลาร์ออสเตรเลียเป็นไปตามคาดและอ่อนค่าลง คุณฟอร์ดกล่าว
โอเปค+ มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ดังนั้น "หากพวกเขาตัดสินใจลดการผลิตลงอีกและบีบอุปทานให้น้อยลงอีกครั้ง เราก็จะได้เห็นราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง”
"ดังนั้นราคาน้ำมันอาจสูงเช่นนี้ราว 2-3 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย ก่อนที่เราจะเข้าสู่ช่วงลดลงของวัฎจักรราคา แต่ราคาน้ำมันก็อาจสูงต่อไปนานกว่านั้นอีก"
แม้ว่าราคาน้ำมันจะไม่ได้เพิ่มขึ้นสูงมากอย่างที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ในตอนแรก แต่คาดว่ามาตรการบรรเทาทุกข์ใด ๆ คงไม่ช่วยให้ราคาน้ำมันลดลงภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ คุณวิเวก ดาร์ นักเศรษฐศาสตร์ด้านเหมืองแร่และพลังงานของธนาคารคอมมอนเวล์ธ บอกกับเอบีซี
ภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงของรัฐบาลสหพันธรัฐได้เพิ่มขึ้นจาก 46 เซนต์ต่อลิตรเป็น 48 เซนต์ต่อลิตรในวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีราคาผู้บริโภค
คุณฟอร์ดกล่าวว่า สิ่งนี้อาจมีส่วนเล็กน้อยที่ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค
ทำไมราคาน้ำมันที่บางปั๊มจึงถูกกว่า?
ผู้ขับขี่รถยนต์บางคนจ่ายแพงกว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยทั่วประเทศ และราคาก็อาจแตกต่างกันมากระหว่างปั๊มน้ำมันต่าง ๆ ในพื้นที่เดียวกัน
คุณฟอร์ดกล่าวว่า เหตุผลสำหรับเรื่องนี้นั้นซับซ้อน แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละเมืองอยู่ที่จุดใดในวัฎจักรราคาน้ำมัน
ผู้ค้าปลีกสามารถกำหนดราคาของตนเองและซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงขายส่งในเวลาและราคาที่ต่างกัน
"ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อน้ำมันขายส่งเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน หรือแม้แต่ปลายเดือนกรกฎาคม คุณจะจ่ายค่าน้ำมันในราคาขายส่งน้อยลง 13 เซนต์ต่อลิตร เมื่อเทียบกับการซื้อวันนี้ ซึ่งคุณอาจส่งต่อราคาที่สูงขึ้นให้ลูกค้า” คุณฟอร์ด กล่าว
“มันอาจเป็นไปได้ว่าปั๊มน้ำมันเอ ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน ซื้อน้ำมันนั้นและเก็บน้ำมันไว้ระยะหนึ่งจนถึงเวลาที่พวกเขาได้กำไรขั้นต้นอย่างแน่นอน พวกเขาจึงขายน้ำมันในราคาที่ถูกกว่าได้ ขณะที่ปั๊มน้ำมันบี ซื้อน้ำมันในราคาขายส่งที่แพงกว่า”
นอกจากนี้ ผู้ค้าปลีกบางรายตัดสินใจที่จะคงราคาน้ำมันให้ต่ำกว่าคู่แข่งอยู่เสมอ เพื่อจะได้มีลูกค้าเพิ่มขึ้น
จะหาน้ำมันถูกกว่าได้อย่างไรและเมื่อไหร่?
ในระหว่างนี้ คุณฟอร์ดกล่าวว่าผู้ขับขี่รถยนต์สามารถประหยัดค่าน้ำมันได้ด้วยการพยายามมองหาปั๊มน้ำมันที่ราคาถูกกว่าก่อนตัดสินใจ และใช้แอปพลิเคชันเปรียบเทียบราคาน้ำมันที่มีอยู่ในแต่ละรัฐและมณฑล
“คุณอาจจะสามารถประหยัดเงินได้บางส่วนด้วยการขับรถไปอีก 2-3 นาที” คุณฟอร์ดกล่าว
นอกจากนี้เขายังแนะนำให้ใช้ประโยชน์จากส่วนลดราคาน้ำมันของร้านซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่และส่วนลดอื่น ๆ เพื่อประหยัดเงินไปได้บ้างในการเติมน้ำมันแต่ละครั้ง
รายงานเพิ่มเติมจาก เอเอพี
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เงินเฟ้อออสฯ อ่อนตัวสู่ 5.6% แต่จะส่งผลกับดอกเบี้ยอย่างไร