เรื่องนี้กระทบต่อทุกๆ คนซึ่งมีความพิการหรือมีความเจ็บป่วยที่ต้องการจะยื่นขอวีซ่าออสเตรเลีย โดยข้อกำหนดนั้นมีมาตลอดหลายสิบปี และถูกกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติโดยเอื้อต่อผู้ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพ แต่ผู้คนจำนวนมากยังไม่ทราบว่ามีข้อกำหนดด้านสุขภาพไว้อย่างไรสำหรับการตรวจคนเข้าเมือง
มีกรณีที่โด่งดังจำนวนหนึ่ง หลังไม่ผ่านข้อกำหนดเนื่องจากบุตรของพวกเขามีความพิการ จึงทำให้มีการเพ่งเล็งไปยังข้อกำหนดเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง โดยกลุ่มตัวแทนและนักการเมืองกำลังเรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างเร่งด่วน
ตลอดที่ผ่านมา ไม่มีพรรคการเมืองหลักพรรคใดเลยซึ่งผูกมัดจะทบทวนข้อกำหนดดังกล่าว แต่วุฒิสมาชิกจากพรรคกรีนส์และตัวแทนผู้ผลักดันเรื่องความพิการ นายจอร์ดอน จอห์น-สตีล กล่าวกับเอสบีเอสนิวส์ว่า หากสุดสัปดาห์นี้ได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาอีกครั้ง ก็จะเป็นการนำเสนอให้ออกกฎหมายต่อประเด็นดังกล่าว
ขั้นตอนเป็นอย่างไร
ข้อกำหนดด้านสุขภาพของการตรวจคนเข้าเมืองนั้นถูกกำหนดไว้ในกฎระเบียบการอพยพย้ายถิ่นฐานปี 1994 (Migration Regulations 1994) โดยอยู่ภายใต้วรรค 4 ของรายการเกณฑ์ต่างๆ ที่มีผลต่อประโยชน์สาธารณะหากอ้างอิงจากรัฐบาล ข้อกำหนัดนั้นมี เพื่อปกป้องชาวออสเตรเลียจาก “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขและด้านความปลอดภัย” เช่นโรคติดเชื้อต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัณโรค เพื่อปกป้องการเข้าใช้บริการทางการแพทย์ของชาวออสเตรเลียซึ่งมีไว้ให้เพียงจำกัดเช่นการปลูกถ่ายอวัยวะ และจำกัดจำนวนเงินซึ่งรัฐบาลจำเป็นจะต้องใช้จ่ายในด้านสุขภาพและบริการชุมชน
รัฐมนตรีตรวจคนเข้าเมือง นายเดวิด โคลแมน (Image source: AAP) Source: AAP
แนวปฏิบัติในปัจจุบันยสำหรับการนำกฎระเบียบเรื่องนี้ไปใช้ระบุไว้ว่า มัน “สำคัญต่อประเทศออสเตรเลียและต่อโครงการวีซ่าให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ที่ความเสี่ยงทางสาธารณสุขและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพนั้น จะไม่เพิ่มขึ้นโดยไม่มีความจำเป็นเนื่องจากนักท่องเที่ยวและผู้อพยพย้ายถิ่นฐาน”
ในทางปฏิบัตินั้น ไม่ว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะเพิ่มขึ้นโดย “ไม่มีความจำเป็น” หรือไม่ก็ตาม มันจะได้รับการตรวจประเมินโดยเทียบกับสิ่งที่นโยบายของรัฐบาลระบุไว้ว่าเป็น ‘ระดับค่าใช้จ่ายที่ถือว่ามีนัยสำคัญ’ หากค่าใช้จ่ายของความพิการด้านหนึ่ง หรือภาวะทางการแพทย์อย่างหนึ่ง ถูกตัดสินโดยเจ้าหน้าที่การแพทย์ของเครือรัฐ (Medical Officer of the Commonwealth) ว่าสูงเกินระดับดังกล่าว ผู้ยื่นขอ(วีซ่า)ซึ่งมีความพิการหรือภาวะทางการแพทย์ก็จะไม่ผ่านข้อกำหนดเรื่องนี้
ในปัจจุบัน ‘ระดับค่าใช้จ่ายที่ถือว่ามีนัยสำคัญ’ นั้นอยู่ที่ 40,000 ดอลลาร์
"ในปัจจุบัน ‘ระดับค่าใช้จ่ายที่ถือว่ามีนัยสำคัญ’ นั้นอยู่ที่ 40,000 ดอลลาร์"
หากยื่นขอวีซ่าชั่วคราว ค่าใช้จ่ายสำหรับบริการต่างๆ นี้ ในทางทฤษฎีจะถูกประเมินเทียบกับระยะเวลาที่ต้องการจะอยู่ในประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ยื่นขอวีซ่านักเรียนคนหนึ่งได้รับการประเมินค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ไว้ที่ 12,000 ต่อปีและต้องการอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียเป็นเวลาสี่ปี พวกเขาก็จะไม่ผ่านข้อกำหนดดังกล่าว
สำหรับผู้ยื่นขอวีซ่าถาวรที่อายุน้อยกว่า 75 ปี การคำนวณว่าท่านจะเกินจำนวนค่าใช้จ่ายนี้หรือไม่จะคิดจากว่าบริการต่างๆ จะมีค่าใช้จ่ายเท่าไรเป็นระยะเวลาห้าปี ในขณะที่ผู้มีอายุเกิน 75 ปี ค่าใช้จ่ายของของพวกเขาจะถูกคำนวณด้วยระยะเวลาเพียงสามปีเท่านั้นข้อยกเว้นในเรื่องนี้ก็คือ หากผู้ที่มีภาวะ(ทางการแพทย์)หรือความพิการที่น่าจะถาวร ในกรณีเหล่านั้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ จะถูกคำนวณไว้สำหรับระยะเวลาตลอดช่วงชีวิตของผู้ยื่นสมัคร
The Wangchuck family was facing deportation to Bhutan due to their son Kinley's disability until the Immigration Minister intervened. Source: SBS
มีบริการต่างๆ มากมายที่จะถูกนำมาคิดรวมเป็นค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น หากอ้างอิงจาก ‘บันทึกแนวทาง’ ของรัฐบาล ซึ่งเป็นเอกสารช่วยเจ้าหน้าที่การแพทย์ของเครือรัฐตัดสินใจ การคำนวณค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีความพิการนั้นอาจรวมไปถึงการเข้ารับเงินบำนาญเพื่อช่วยเหลือความพิการ (Disability Support Pension) เงินเบี้ยเลี้ยงช่วยให้ทำการเคลื่อนไหว (mobility allowance) เงินเบี้ยเลี้ยงค่ายา และอื่นๆ อีกมากมาย
สำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน มันก็อาจรวมไปถึงการบำบัดทางการพูด การสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก (MRI) บริการด้านการศึกษา และการปลูกถ่ายโฆเคลีย
ในการคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ เหล่านี้ เจ้าหน้าที่การแพทย์ของเครือรัฐจำเป็นจะต้องใช้ ‘การทดสอบบุคคลสมมติ’ ซึ่งหมายถึงว่า พวกเขาจะต้องพิจารณาว่าจะมีบริการใดๆ บ้างที่บุคคลสมมติคนหนึ่งซึ่งมีภาวะเช่นเดียวกับผู้ยื่นขอ(วีซ่า)จะสามารถเข้าใช้ได้บ้าง และทำการตัดสินด้านค่าใช้จ่ายไปตามนั้น
มันไม่สำคัญว่าผู้ยื่นสมัครจงใจจะเข้าใช้บริการต่างๆ เหล่านี้หรือไม่ หากอ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง นางแมรี คุก “ไม่มีการพยายามจะวัดเรื่องนี้ในความเป็นจริง” ว่าบุคคลหนึ่งนั้นจะดึงทรัพยากรของออสเตรเลียไปใช้หรือไม่
ปัจจัยอื่นๆ เช่น สภานภาพทางการเงิน ที่อยู่ของสมาชิกครอบครัว หรือความสามารถในการให้แก่สังคมออสเตรเลีย จะไม่สามารถถูกนำมาพิจารณาในการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่การแพทย์ของเครือรัฐได้
เรื่องนี้ใช้กับใครบ้าง
เกือบทุกคนที่ยื่นขอวีซ่าเพื่อเยี่ยมเยือนหรืออยู่อาศัยในประเทศออสเตรเลียจำเป็นจะต้องผ่านข้อกำหนดทางสุขภาพ โดยหลายคนจำเป็นต้องไปตรวจสุขภาพร่างกาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการมา ชนิดของวีซ่า และระยะเวลาที่อยู่ในประเทศ
ผู้ซึ่งยื่นขอวีซ่าถาวรนั้นจำเป็นจะต้องไปรับการตรวจโดยแพทย์ก่อนที่จะได้รับอนุมัติวีซ่า ผู้ขอวีซ่าชั่วคราวก็อาจจำเป็นต้องไปตรวจ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ต้องการจะอยู่ในประเทศ ประเทศต้นทาง และว่าพวกเขานั้นจะทำกิจกรรมอะไรที่ประเทศออสเตรเลียบ้างในลักษณะที่สุขภาพจะมีความสำคัญเป็นพิเศษ
หากสมาชิกคนหนึ่งของทั้งครอบครัวที่ยื่นขอวีซ่าร่วมกันไม่ผ่านข้อกำหนดด้านสุขภาพ สมาชิกคนอื่นๆ ทุกคนของครอบครัวก็จะถูกปฏิเสธวีซ่าไปด้วย โดยเห็นเรื่องนี้ได้จากกรณีของครอบครัววังชุก ซึ่งหลังจากอยู่อาศัยในประเทศออสเตรเลียมาเกือบสิบปีก็เผชิญกับการถูกเนรเทศไปยังประเทศภูฏานเนื่องจาก
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่รัฐมนตรีตรวจคนเข้าเมืองนายเดวิด โคลแมน เข้าแทรกแซง
ณ ปี ค.ศ. 2012 ผู้ซึ่งหาทางมายังประเทศออสเตรเลียด้วยวีซ่าผู้ลี้ภัยและวีซ่ามนุษยธรรม แต่ไม่ผ่านข้อกำหนดดังกล่าวเนื่องจากเหตุผลด้านค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปอย่างมีนัยสำคัญ จะได้รับการยกเว้นต่อข้อกำหนดนี้มีจำนวนชนิด (ซับคลาส) ของวีซ่าซึ่งไม่มีข้อกำหนดด้านสุขภาพดังกล่าว ได้แก่: ZM 988, BB155, BB157, GD 403, TF 995, TY 444 และวีซ่าวัตถุประสงค์พิเศษ
มีชนิด (ซับคลาส) ของวีซ่าอยู่จำนวนจำกัด ซึ่งจะไม่มีข้อกำหนดด้านสุขภาพ (Image source: Getty Images) Source: Getty Images
ผู้ป่วยเป็นวัณโรคจะถูกห้ามโดยกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองอย่างแน่นอนไม่ให้ได้รับวีซ่าออสเตรเลีย และไม่มีข้อยกเว้นในเรื่องนี้ใดๆ ทั้งสิ้น
"ผู้ป่วยเป็นวัณโรคจะถูกห้ามโดยกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองอย่างแน่นอนไม่ให้ได้รับวีซ่าออสเตรเลีย และไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น"
การยกเว้นด้านสุขภาพคืออะไร?
หากผู้ยื่นขอคนหนึ่งไม่ผ่านข้อกำหนดด้านสุขภาพ ในบางกรณีก็สามารถให้การยกเว้นด้านสุขภาพได้ขึ้นอยู่กับประเภท (คลาส) ของวีซ่า ซึ่งก็จะทำให้ผู้ยื่นขอนั้นยังสามารถได้รับอนุมัติวีซ่าได้อยู่
ประเภทของวีซ่าที่อาจมีสิทธิได้รับการยกเว้นด้านสุขภาพก็คือกลุ่มซึ่งเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ด้านผลประโยชน์สาธารณะ 4007 กลุ่มนี้จะรวมไปถึงวีซ่าผู้ลี้ภัย และวีซ่ามนุษยธรรม วีซ่าทักษะและวีซ่าธุรกิจบางประเภท วีซ่านักเรียนด้านการต่างประเทศหรือภาคส่วนป้องกันประเทศ และวีซ่าทักษะขาดแคลนแบบชั่วคราว
ทว่าหากคำร้องสำหรับวีซ่านั้นถูกครอบคลุมโดยวัตถุประสงค์ด้านผลประโยชน์สาธารณะ 4005 ก็จะไม่มีหนทางสำหรับการยกเว้นด้านสุขภาพใดๆ
การประเมินเพื่อยกเว้นด้านสุขภาพนั้นเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการตัดสินใจออกวีซ่า และจะยกเว้นให้ได้ก็ต่อเมื่อผ่านเกณฑ์อื่นๆ สำหรับการอนุมัติวีซ่าทั้งหมดอย่างน่าพึงพอใจแล้ว
หากอ้างอิงตามแนวปฏิบัติของรัฐบาล สถานการณ์แวดล้อมต่างๆ ก็อาจถูกนำมาคิดรวมเมื่อประเมิน ว่าจะให้การยกเว้นด้านสุขภาพหรือไม่ ซึ่งจะรวมไปถึงว่าผู้สมัครนั้นสามารถแบ่งเบาค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของพวกเขาเองได้หรือไม่ มีเหตุผลที่น่าเห็นอกเห็นใจ (compassionate grounds) หรือไม่ เช่นผู้ยื่นขอนั้นจะสามารถเข้าใช้การรักษาทางการแพทย์ได้หรือไม่หากถูกบีบบังคับให้ย้ายที่อยู่ หรือว่าหากพวกเขามีความเชื่อมโยงอย่างสลักสำคัญกับครอบครัวที่ประเทศออสเตรเลีย
หากไม่ได้รับการยกเว้นทางการแพทย์ และการยื่นอุทธรณ์ต่างๆ นั้นไม่เป็นผล ทางเลือกที่เหลือหนทางเดียวสำหรับผู้ยื่นขอวีซ่าก็คือการเข้าแทรกแซงโดยรัฐมนตรี
ภายใต้พระราชบัญญัติการตรวจคนเข้าเมืองปี 1958 รัฐมนตรีตรวจคนเข้าเมืองมีอำนาจในการล้มเลิกการตัดสินใจเพื่อปฏิเสธวีซ่าได้ หากเขาเชื่อว่าถ้าแทรกแซงแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะหากอ้างอิงจาก มีเพียงกรณี “จำนวนน้อย” เท่านั้น ที่ถูกส่งต่อให้กับรัฐมนตรี และกรณีเหล่านั้นแสดงให้เห็นได้ว่ามี “สภาพการณ์แวดล้อมที่ไม่ซ้ำใครและเป็นพิเศษ”
Biswajit Banik, Sarmin Sayeed and their 12-year-old son Arko. Source: The Feed
เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2017 เมื่อรัฐมนตรีช่วยด้านตรวจคนเข้าเมืองในขณะนั้น นายอเล็กซ์ ฮอว์ก เข้าแทรกแซงเพื่อยับยั้งการเนรเทศแพทย์คนหนึ่งจากย่านตะวันตกของนครซิดนีย์ แพทย์หญิง ซึ่งมีภาวะออติสม ตามที่สื่อซิดนีย์มอร์นิงเฮราลด์รายงาน
หนึ่งปีก่อนหน้านั้น นายปีเตอร์ ดัตตัน รัฐมนตรีตรวจคนเข้าเมืองในขณะนั้นก็เข้าแทรกแซงกรณีของครอบครัวชาวบังกลาเทศ ซึ่งคำร้องขอเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรของพวกเขาถูกปฏิเสธเพราะบุตรชายของพวกเขามีภาวะออติสมอย่างอ่อนๆ
การตัดสินใจที่จะให้คุณบิสวาจิต บานิก และซาร์มิน ซายีด แพทย์ทั้งสองคนและบุตรชาย อาร์โก อยู่ต่อนั้น เกิดขึ้นหลังจากห เพื่อสนับสนุนครอบครัวดังกล่าว
คุณเคยได้รับผลกระทบจากข้อกำหนดด้านสุขภาพของการตรวจคนเข้าเมืองหรือไม่ โปรดติดต่อเรา
ติดตามฟังรายการ เอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ ทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดี เวลา 22.00 น.
เรื่องเกี่ยวกับวีซ่าออสเตรเลียจาก เอสบีเอส ไทย
หากมีลูกที่ออสเตรเลีย 10 ปีขอเป็นพีอาร์อยู่ต่อได้
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจจาก เอสบีเอส ไทย
พรรคแรงงานจะจำกัดการใช้สัญญาชั่วคราวต่อลูกจ้าง