ประเด็นสำคัญ
- เดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาอิสลาม ช่วงเวลาของการถือศีลอดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
- อีดคือการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดของเดือนรอมฎอน
- ชาวมุสลิมในออสเตรเลียมีภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่หลากหลายและฉลองอีดแตกต่างไป
กด ▶ เพื่อฟังพอดคาสต์ด้านบน
ความเข้าใจและเห็นคุณค่าของศาสนาและวัฒนธรรมอื่นเป็นพื้นฐานของสังคมพหุวัฒนธรรมอันดี
รอมฎอน (Ramadan) และอีด (Eid) หมายถึงอะไรในวัฒนธรรมอิสลาม?
เดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่ 9 ตามปฏิทินจันทรคติของอิสลาม ชาวมุสลิมที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่และที่มีสุขภาพดีต้องถือศีลอดตั้งแต่เช้าจรดค่ำในช่วงเวลานี้
รองศาสตราจารย์ ซูเลย์ฮา เคสกิน (Zuleyha Keskin) รองหัวหน้าศูนย์อิสลามศึกษาและอารยธรรม (Centre for Islamic Studies and Civilisation) แห่งมหาวิทยาลัยชาร์ลส์ สเติร์ท (Charles Sturt University) ที่เมลเบิร์นอธิบายดังนี้
รอมฎอนถือเป็นเดือนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของปีสำหรับชาวมุสลิม และถือเป็นเดือนที่พิเศษมาก
"สิ่งที่เป็นลักษณะเฉพาะของเดือนนี้คือการถือศีลอดตั้งแต่เช้าตรู่จนพระอาทิตย์ตก ซึ่งหมายถึงการงดอาหาร น้ำ และการมีเพศสัมพันธ์ และฉันคิดว่ากระบวนการนี้เป็นการเรียนรู้ การพัฒนา และการสร้างวินัยครั้งใหญ่”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
การดื่มน้ำนั้นก็ไม่ได้: คู่มือรอมฎอนสำหรับผู้ที่ไม่ใช่ชาวมุสลิม
ปฏิทินอิสลามหรือที่เรียกว่าปฏิทินฮิจเราะห์ (Hijri) ยึดจากวงจรของดวงจันทร์ที่เดินทางรอบโลก เนื่องจากเป็นปฏิทินที่มี 10 หรือ 12 วันสั้นกว่าปฏิทินสุริยคติ วันสำคัญทางศาสนาอิสลามจึงแตกต่างกันทุกปี
ปีนี้เดือนรอมฎอนตรงกับวันที่ 22 มีนาคมถึง 20 เมษายน
การถือศีลอดเป็นหนึ่งในหลักปฏิบัติ 5 ประการ (Five Pillars of Islam) ซึ่งได้แก่ ความศรัทธา การละหมาด การบริจาคซะกาด การถือศีลอด และการประกอบพิธีฮัจญ์ (Hajj) หรือการจาริกแสวงบุญ
ศาสตราจารย์กาลิมา ลาเชียร์ (Karima Laachir) ผู้อำนวยการศูนย์อาหรับและอิสลามศึกษา (Director of the Centre for Arab and Islamic Studies) จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University) กล่าวว่าเดือนรอมฎอนมีความหมายมากกว่าการงดอาหารและเครื่องดื่ม
“นับเป็นเดือนของจิตวิญญาณ เป็นเดือนแห่งการเชื่อมโยงกับความศรัทธาและกับพระเจ้า การเชื่อมโยงกับการสักการะบูชา และที่สำคัญคือเป็นเดือนที่เราเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ที่มีความเห็นอกเห็นใจอีกครั้ง เข้าใจความต้องการของคนยากจนที่ไม่สามารถหาซื้ออาหารได้ และเชื่อมโยงกับโลกรอบๆ ตัวเราอีกครั้ง”
ปฏิทินฮิจเราห์ของอิสลามยึดตามการโคจรของดวงจันทร์รอบโลก Credit: Pixabay
การสักการะบูชาเพิ่มเติม เช่น การละหมาด การอ่านและทำความเข้าใจคัมภีร์กุลรอาน (Quran) และงานกุสลเป็นสิ่งที่มักพึงกระทำ ชาวมุสลิมจำนวนมากจะเข้าสุเหร่าหลังจากละศีลอดหรือที่เรียกว่า ‘อิฟตาร์ (Iftar)'
นอกเหนือจากการสวดมนต์และหน้าที่ทางศาสนาแล้ว ศาสตราจารย์ลาเชียร์ยังเน้นถึงประโยชน์ด้านสุขภาพของการถือศีลอดอีกด้วย
ในทางร่างกาย มันดีต่อสุขภาพมาก
"เพราะมันปรับปรุงการเผาผลาญของร่างกาย ชำระล้างสารพิษ มีการพิสูจน์แล้วว่าเป็นกระบวนการที่ดีต่อสุขภาพ และเราทราบถึงการอดอาหารเป็นระยะ (intermittent fasting) และความสำคัญต่อร่างกายดี”
A meal with loved ones during Ramadan. การรับประทานอาหารกับครอบครัวและคนที่คุณรักหลังเดือนรอมฏอน Source: iStockphoto / PeopleImages/Getty Images/iStockphoto
คำว่าอีดเป็นภาษาอาหรับ หมายถึง ‘เทศกาล’ หรือ ‘งานเลี้ยง’ ซึ่งมีเทศกาลอีดหลักสองเทศกาลคือ อีดอีดิลฟิฏร์ (Eid al-Fitr) และอีดดิลอัฎฮา (Eid al-Adha)
รองศาสตราจารย์เคสกินกล่าวว่าอีดอีดิลฟิฏร์หรือเทศกาลอีดเล็กเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จเป็นเวลา 3 วัน
อีดเป็นโอกาสเฉลิมฉลองความสำเร็จของการถือศีลอดในช่วงรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนที่ค่อนข้างลำบากดังที่ทุกคนสามารถจินตนาการได้
"เป็นการยกระดับจิตวิญญาณสำหรับหลายคน แต่ก็เป็นเดือนที่ลำบาก การอดอาหารและน้ำทั้งวันไม่ใช่เรื่องง่าย อีดคือการเฉลิมฉลองความสำเร็จของคนคนหนึ่ง เหมือนกับการพูดว่า ฉันได้บรรลุเป้าหมายนี้ในชีวิตของฉันแล้ว ฉันถือศีลอดสำเร็จแล้ว และตอนนี้ฉันจะเฉลิมฉลองมัน”
ระหว่างที่ชาวมุสลิมเฉลิมฉลองวันอีด พวกเขายังคงต้องบริจาคทานหรือที่เรียกว่าซะกาดหรือซะกาดอัลฟิตรี (Zakat al-Fitr) เพื่อให้ผู้ยากจนได้เฉลิมฉลองเช่นกัน
“ส่วนสำคัญของรอมฎอนคือการระลึกถึงหรือเห็นอกเห็นใจผู้ยากไร้หรือผู้อดอยากในระดับหนึ่ง ขณะที่เราถือศีลอด เหมือนเรากำลังเป็นเหมือนพวกเขาที่ไม่มีอันจะกิน คุณรู้ไหม ประเทศวัฒนธรรมตะวันตกเช่นประเทศเรา เรามักไม่รู้ว่าความหิวเป็นอย่างไร เราไม่เคยประสบความหิวโหย ดังนั้นเมื่อเราอดอาหาร เรารู้สึกหิว เรารู้สึกกระหายน้ำ และเราคิดว่า โอ้ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”
คนมุสลิมที่มีสุขภาพแข็งแรงต้องถือศีลอดตั้งแต่เช้าจรดค่ำในช่วงเดือนรอมฎอน Source: Moment RF / Jasmin Merdan/Getty Images
การเฉลิมฉลองเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์บทสวดเฉพาะในเวลาเช้าของวันที่ 1 เดือน 10 ตามปฏิทินอิสลาม วันอีดมักจะเป็นวันหยุดราชการในประเทศอิสลามส่วนใหญ่
การละหมาดร่วมกันจะจัดขึ้นในมัสยิดท้องถิ่นหรือศูนย์ชุมชน โดยผู้คนจะทักทายกันด้วยคำว่า ‘อีดมูบารัก (Eid Mubarak)' หมายถึง ‘วันอีดแห่งความสุข’
ศาสตราจารย์ลาเชียร์กล่าวว่า ยังเป็นการเฉลิมฉลองการอยู่ร่วมกันและการให้อภัยด้วย เป็นการฟื้นฟูจิตวิญญาณของชุมชนและสนับสนุนให้ชาวมุสลิมให้อภัย
“อีดเป็นการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ ชาวมุสลิมจะแต่งตัวให้ดูดี เด็กๆ จะซื้อเสื้อผ้าใหม่ พวกเขาจะได้รับของขวัญและของกำนัล เหมือนเป็นการเฉลิมฉลองร่วมกันในครอบครัวที่ทุกคนไปเยี่ยมเยียนกันและดื่มด่ำกับการเฉลิมฉลองเทศกาลอีดเป็นเวลา 3 วัน การรับประทานอาหารมื้อพิเศษ เค้กและอาหารที่ทำขึ้นโดยเฉพาะสำหรับเดือนนี้”
วันอีดมักเป็นวันหยุดราชการในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม Source: iStockphoto / Drazen Zigic/Getty Images/iStockphoto
ศาสตราจารย์ลาเซียร์กล่าวว่าการเฉลิมฉลองในออสเตรเลียนั้นแตกต่างไป
ชาวมุสลิมในออสเตรเลียค่อนข้างหลากหลาย พวกเขามาจากภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
"เช่น ชาวมุสลิมจากเอเชียใต้ ชาวมุสลิมจากแถบอาหรับ ชาวมุสลิมจากแอฟริกา ชาวมุสลิมจากจีน จากส่วนต่างๆ ของโลก ดังนั้นพวกเขาจะมีประเพณีบางอย่างที่สืบทอดจากบรรพบุรุษของพวกเขามาที่นี่และมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับสิ่งนั้น”
ชุมชนมุสลิมฉลองวันอีด การสิ้นสุดของการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ที่ซิดนีย์ Source: AAP / DEAN LEWINS/AAPIMAGE
เขากล่าวว่ามีความแตกต่างทางวัฒนธรรมอย่างมากระหว่างชาวมุสลิมที่มีภูมิหลังแตกต่างกัน คุณอาวันเป็นประธานเทศกาลอีดหลากวัฒนธรรมแห่งออสเตรเลีย (Australian Multicultural Eid Festival) ซึ่งรวบรวมชาวมุสลิมจากทุกวัฒนธรรมในที่เดียว
“หลายคนทำอาหารมื้อพิเศษต่างกัน แต่งตัวในเทศกาลอีดต่างกัน เมื่อพูดถึงการเฉลิมฉลอง มันอาจเป็นกิจกรรมบางอย่าง การแสดงบางอย่าง การสำรวจบางอย่าง สิ่งที่เรามักทำในเทศกาลอีดคือพยายามรวบรวมการแสดงที่แตกต่างกัน วัฒนธรรมที่แตกต่างกันไว้ในที่เดียว และนั่นคือความสวยงามของออสเตรเลีย”
ฝูงชนเต็มมัสยิดเพื่อเฉลิมฉลองการสิ้นสุดของเดือนรอมฎอนที่ซิดนีย์ Source: AAP / JANE DEMPSTER/AAPIMAGE
“สิ่งที่สวยงามในชุมชนมุสลิมที่ออสเตรเลียคือการเฉลิมฉลองส่วนใหญ่เกิดขึ้นในศูนย์ชุมชนและในมัสยิดท้องถิ่น ซึ่งมักนำชุมชนเหล่านี้ที่มีภูมิหลังต่างกันมารวมกัน และพวกเขาเฉลิมฉลองผ่านอาหารประจำชาติหรืออาหารประจำวัฒนธรรม ขนมหวานและเค้ก สิ่งนี้จึงมีพลังมากขึ้นเพราะมันเป็นการรวบรวมชาวมุสลิมทั้งหมดหรือที่เรียกว่า ‘มุสลิมโอมา (Muslim Oma)’ ซึ่งเป็นประเทศมุสลิมที่ไม่จำกัดเชื้อชาติ หรือประเทศ หรือพรมแดน มารวมกันเพื่อเฉลิมฉลองวันพิเศษนี้ ดังนั้นจึงมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากขึ้นและน่าตื่นเต้น”
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
จิตวิญญาณที่แท้จริงของ ‘ญิฮาด’
เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ
ผู้มีเงินกู้โล่งอกหลังแบงค์ชาติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.6%