ธุรกิจขนาดเล็กเสี่ยงต้องปิดกิจการจากต้นทุนที่พุ่งสูง

Western Sydney small business owner Talal Almardoud (SBS-Sandra Fulloon).jpg

คุณทาลาล อัลมาร์ดูด์ เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในซิดนีย์ตะวันตก Credit: SBS-Sandra Fulloon

ภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ซึ่งรวมถึงราคาน้ำมันที่สูงขึ้น กำลังเพิ่มแรงกดดันทางการเงินให้แก่ธุรกิจขนาดเล็กมากมายจากทั้งหมดที่มีราว 2.3 ล้านแห่งในออสเตรเลีย และธุรกิจขนาดเล็กบางแห่งกำลังดิ้นรนเพื่อให้รอดพ้นจากความยากลำบาก


คุณทาลาล อัลมาร์ดูด์ เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในซิดนีย์ตะวันตก เพิ่งปิดการให้บริการขายอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ในวันธรรมดาลงเมื่อไม่นานมานี้

“เราเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของราคาสิ่งต่างๆ และค่าใช้จ่ายทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิลต่างๆ มีการขาดแคลนพนักงานที่เราจะจ้างได้ และค่าจ้างที่เราต้องจ่ายก็แพงขึ้นด้วย” คุณอัลมาร์ดูด์ กล่าว
เราเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของราคาสิ่งต่างๆ และค่าใช้จ่ายทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิลต่างๆ มีการขาดแคลนพนักงานที่เราจะจ้างได้ และค่าจ้างที่เราต้องจ่ายก็แพงขึ้นด้วย
คุณอัลมาดูด์ได้ก่อตั้งธุรกิจจัดเลี้ยงในช่วงที่การระบาดใหญ่ของโควิดเริ่มต้นขึ้นพอดี เขากล่าวว่าเนื่องจากธุรกิจของเขาได้รับความช่วยเหลือไม่มากนักในช่วงโควิดระบาด สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันจึงยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลทางการเงินให้แก่เขา

“เนื่องจากราคาสิ่งต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น ผมจึงพบความยากลำบากในการจ่ายค่าเช่าร้านเมื่อเดือนที่แล้ว และผมก็ไม่รู้ว่าจะจ่ายค่าเช่าในเดือนนี้ได้อย่างไร” คุณอัลมาร์ดูด์ เผย

เช่นเดียวกับคุณอัลมาร์ดูด์ สำหรับหลายๆ คนแล้ว ความยากลำบากทางการเงินของพวกเขาอาจถึงจุดวิกฤต

“หากยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไป ผมจะถูกบีบให้ต้องปิดกิจการและหางานอื่นทำเพื่อจ่ายค่าเช่าที่จ่ายล่าช้าและจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่คั่งค้างอยู่” คุณอัลมาร์ดูด์ กล่าว

คุณแพทริก ค็อกห์แลน ซีอีโอของเครดิเตอร์วอตช์ (Creditorwatch) อธิบายว่า แม้ว่าการใช้จ่ายในร้านค้าปลีกของผู้บริโภคจะสูงขึ้นกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ แต่ต้นทุนค่าน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ล้วนส่งผลกระทบ

“เมื่อเราเห็นการจับจ่ายใช้เงินน้อยลง เราจะเห็นจีดีพี (GDP หรือผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ) ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และนั่นจะทำให้เกิดผลเสียอย่างมากในระบบเศรษฐกิจและในธุรกิจต่างๆ โดยทั่วไป”

เครดิเตอร์วอตช์ กำลังติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับตัวบ่งชี้สำคัญของการล้มละลายของธุรกิจ ซึ่งคุณ ค็อกห์แลน อธิบายว่า

“ข้อมูลของเรายังคงระบุถึงตัวชี้วัดที่แข็งแกร่งที่บอกเราว่า ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากขึ้นกำลังตกอยู่ในภาวะยากลำบาก หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญของการล้มละลายที่กำลังจะเกิดขึ้นคือการผิดนัดชำระเงินของธุรกิจ (trade payment defaults) ซึ่งกำลังเพิ่มขึ้น 53 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบเป็นรายปีในขณะนี้ ทั้งนี้การผิดนัดชำระเงินของธุรกิจคือ เจ้าหนี้ลงทะเบียนการผิดนัดของลูกค้าที่ยังไม่ได้ชำระบิลเรียกเก็บเงิน ดังนั้นจึงเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญอย่างยิ่งในการแสดงให้เห็นว่ามีธุรกิจจำนวนมากขึ้นที่ไม่ได้จ่ายเงินตามใบแจ้งหนี้” คุณ ค็อกห์แลน กล่าว
ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากขึ้นกำลังตกอยู่ในภาวะยากลำบาก หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญของการล้มละลายที่กำลังจะเกิดขึ้นคือการผิดนัดชำระเงินของธุรกิจ (trade payment defaults) ซึ่งกำลังเพิ่มขึ้น 53 เปอร์เซ็นต์
ดัชนีความเสี่ยงของเครดิเตอร์วอตช์ ได้เปิดเผยสัญญาณอันตรายอื่นๆ โดยคุณค็อกห์แลน กล่าวต่อไปว่า

“การดำเนินคดีของศาลเพิ่มขึ้น 51 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบปีต่อปี และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การดำเนินคดีในศาลเป็นขั้นตอนต่อไปของการเรียกเก็บเงินของเจ้าหนี้หรือหลังจากที่มีการจดทะเบียนการผิดนัดชำระหนี้แล้ว ในขั้นตอนนี้พวกเขาจะไปศาลเพื่อขอคำพิพากษาสำหรับการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วจะบังคับให้ลูกค้ารายนั้นหรือลูกหนี้รายนั้นต้องชำระเงินตามบิลเรียกเก็บเงินนั้น” คุณ ค็อกห์แลน กล่าว
จากธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางทั้งหมด 2.3 ล้านแห่งในออสเตรเลีย ธุรกิจเหล่านั้นจำนวนมากอาจเผชิญกับการล้มละลายในปีงบประมาณนี้

ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงสุดคือธุรกิจที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐควีนส์แลนด์และทางตะวันตกของซิดนีย์ ซึ่งคุณค็อกห์แลนกล่าวว่ามีอัตราการล้มละลายส่วนบุคคลที่สูงกว่าอัตราเฉลี่ยทั่วไป และมีรายได้ต่ำกว่าอัตรารายได้เฉลี่ยของธุรกิจ

“อุตสาหกรรมที่มีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะผิดนัดชำระหนี้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ได้แก่ บริการอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจด้านศิลปะและนันทนาการ และธุรกิจด้านการศึกษาและการฝึกอบรมด้วย” คุณ ค็อกห์แลน กล่าว
อุตสาหกรรมที่มีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะผิดนัดชำระหนี้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ได้แก่ บริการอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจด้านศิลปะและนันทนาการ และธุรกิจด้านการศึกษาและการฝึกอบรม
คุณ ชาร์ลส์ เลธบริดจ์ ทนายความหุ้นส่วนของบริษัทกฎหมายแอตวูด มาร์แชลล์ (Atwood Marshall) ในซิดนีย์ กล่าวว่า คำสั่งจากผู้ชำระบัญชีและผู้ดูแลทรัพย์สินที่ล้มละลายให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อธุรกิจกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“นี่เป็นผลทางอ้อมจากการระบาดใหญ่ของโควิด การสนับสนุนทางการเงินและมาตรการอื่น ๆ ที่รัฐบาลกลางที่มีในช่วงการระบาดใหญ่เพื่อช่วยเหลือบุคคลและบริษัทต่างๆ ในการรับมือกับแรงกดดันทางการเงินจากการระบาดใหญ่ของโควิดกำลังถูกยุติลง โดยผลที่ตามมาคือ การล้มละลายและการปิดกิจการและขายทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้กำลังเพิ่มขึ้น” คุณ เลธบริดจ์ ทนายความ กล่าว

ด้านสำนักงานภาษีของออสเตรเลีย หรือ เอทีโอ กล่าวว่า มีภาษีที่ยังค้างชำระแก่เอทีโออยู่ 68,000 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าเอทีโอจะดำเนินการติดตามหนี้อย่างจริงจังในปีงบประมาณนี้

หลังจากอัตราดอกเบี้ยได้เพิ่มขึ้นอีกครั้งในวันอังคาร ที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา คุณอเล็กซี บอยด์ ซีอีโอของ สภาองค์กรธุรกิจขนาดเล็กแห่งออสเตรเลีย มีคำแนะนำนี้สำหรับธุรกิจที่กำลังประสบปัญหา

“ให้คุณขอความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้และให้พูดคุยกับสมาคมวิชาชีพของคุณ เนื่องจากพวกเขาจะเคยประสบเรื่องนี้มาแล้วในรูปแบบอื่นๆ กับธุรกิจที่คล้ายคลึงกันอื่น ๆ และสามารถให้คำแนะนำและการสนับสนุนที่ถูกต้องแก่คุณได้"

"เป็นเรื่องสำคัญมากที่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กจะนึกถึงสุขภาพจิตของตนเองเป็นอย่างแรก และเราแนะนำให้ผู้คนติดต่อไปที่ Beyond Blue ซึ่งมีโปรแกรมที่ยอดเยี่ยมที่เรียกว่า New Access ดำเนินการโดยธุรกิจขนาดเล็กเพื่อธุรกิจขนาดเล็ก และคุณจะได้รับคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับวิธีออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้” คุณอเล็กซี บอยด์ แนะนำ


คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ 


บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่ 

Share