กด 🔊 เพื่อฟังเรื่องนี้
LISTEN TO
รมต. อิมฯคนใหม่จะรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อวัดความหลากหลายในออสเตรเลีย
SBS Thai
20/06/202208:34
รัฐมนตรีกระทรวงตรวจคนเข้าเมืองและอพยพย้ายถิ่นคนใหม่ให้สัญญาว่ารัฐบาลจะเสริมสร้างความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับชุมชนพหุวัฒนธรรมในประเทศ
นายแอนดรูว์ ไจล์ส (Andrew Giles) ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์เป็นครั้งแรก ให้คำมั่นในการประชุมสมาพันธุ์ชุมชนหลากหลายชาติพันธุ์แห่งออสเตรเลียหรือเฟกกา (Federation of Ethnic Communities Councils of Australia – FECCA) ที่เมืองเมลเบิร์น ในระหว่างวันที่ 15-17 มิถุนายน ที่ผ่านมา
“รัฐบาลพรรคแรงงานของนายอัลบานีซี (Albanese) มุ่งมั่นที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ในการวัดความหลากหลายในออสเตรเลีย เพื่อปรับปรุงนโยบาย จัดสรรทรัพยากร และวางแผนคณะทำงานเพื่อการรวบรวมข้อมูลที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษาประกอบด้วยตัวแทนของหน่วยงานที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และผมขอบคุณผู้นำและโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เชี่ยวชาญของเฟกกา (FECCA) รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในการเก็บรวบรวมข้อมูลและประชากรศาสตร์ กลุ่มนี้จะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนามาตรฐานการรวบรวมข้อมูลของกลุ่มที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษาแห่งชาติ”
นายแอนดรูว์ยังให้คำมั่นว่าจะเปลี่ยนแปลงแนวทางของการอภิปรายเรื่องการตรวจคนเข้าเมืองและอพยพย้ายถิ่นฐานในออสเตรเลีย
ในวันนี้และวันหน้า ผมยึดมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางจากการละเลยมาเป็นการเคารพ ผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในการกระทำเช่นนั้น เพื่อหาแนวทางในการมีนโยบายจากความคิดเห็นที่แตกต่างไป แนวทางที่แตกต่างในการแสดงความมุ่งมั่นร่วมกันของเรา โดยไม่ใช้บุคคลเป็นหลักประกันทางการเมือง ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไร้จุดหมาย แบ่งแยกและทำลายล้างวัฒนธรรม
นับว่าเป็นข่าวที่ดีกับคุณเมห์ดี ซินา (Mehdi Sina) ผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันจากปากีสถาน ที่ที่ครอบครัวเขาอาศัยอยู่ เขามาถึงเกาะคริสต์มาสทางเรือ (Christmas Island) เมื่อเขาอายุ 15 ปี
“ออสเตรเลียมีทุกอย่าง ตั้งแต่วันที่ผมมาถึงออสเตรเลียครั้งแรก ผมรู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง เป็นมนุษย์ที่มีคุณประโยชน์มากขึ้น นับตั้งแต่วันที่ผมมาถึงออสเตรเลีย ผมได้เรียนระดับมัธยมปลายและได้เรียนในมหาวิทยาลัย และบรรลุเป้าหมายแต่ละอย่างของผม”
อีกสิบกว่าปีให้หลัง เขาได้มีสถานะผู้พำนักถาวร (Permanent Residency) แต่เขากล่าวว่า เขายังคงถูกปฏิเสธในการพาครอบครัวที่เหลือของเขามาออสเตรเลียด้วยวีซ่ามนุษยธรรม (Humanitarian visa)
"ผมคิดว่าครอบครัวคือทุกสิ่ง ในช่วงของการระบาดหลายคนคิดถึงครอบครัวของพวกเขาหลายคนไม่ได้เจอครอบครัวของพวกเขาในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ลองนึกภาพถ้าคุณอยู่ในสถานะแบบผม คุณจะรู้สึกอย่างไร? ต้องอยู่ไกลจากครอบครัวในช่วง 10-12 ปีที่ผ่านมา"โครงการด้านมนุษยธรรมของออสเตรเลียในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเป็นผลมาจากสองวิกฤต การล่มสลายของอัฟกานิสถานและการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ที่ยังคงเกิดต่อเนื่อง
เด็กๆ เดินบนถนนลูกรังที่รายล้อมด้วยเต๊นท์ Source: Pexels/Ahmed Akacha
ภายใต้รัฐบาลก่อนหน้า ชาวยูเครนกว่า 8,000 คนได้รับวีซ่ามนุษยธรรมที่อนุญาตให้พวกเขาทำงานและเรียนได้
ออสเตรเลียอพยพชาวอัฟกานิสถานเกือบ 4,000 คน เมื่อกรุงคาบูล (Kabul) ล่มสลายและอนุมัติวีซ่าครอบครัวเกือบ 11,000 รายนับตั้งแต่นั้น และยังจัดสรร 31,500 วีซ่าสำหรับชาวอัฟกันในอีก 4 ปีข้างหน้า
คุณจานา ฟาเวโร (Jana Favero) จากศูนย์ข้อมูลผู้ขอลี้ภัย (Asylum Seeker Resource Centre) กล่าวว่าการตัดสินใจอย่างรวดเร็วต่อสถานการณ์ของยูเครน แสดงให้เห็นถึงความต้องการอันชัดเจนในการให้ความช่วยเหลือผู้คนจากประเทศนั้น
“วิธีที่เราปฏิบัติต่อสถานการณ์ในยูเครนนั้นเป็นวิธีที่เราควรทำ เราออกแถลงการณ์อย่างรวดเร็ว เราอพยพผู้คนไปยังที่ปลอดภัย และเราพาพวกเขาออกมาจากที่นั่น มีความแตกต่างอย่างมากในการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยอื่นๆ จากวิธีที่พวกเขามาถึง เวลาที่พวกเขามาถึง และประเทศที่พวกเขาลี้ภัยมา”
คุณอาบูล ริซวี (Abul Rizvi) อดีตเลขาธิการกระทรวงตรวจคนเข้าเมืองไม่เชื่อว่าออสเตรเลียให้วีซ่าโดยพิจารณาจากเชื้อชาติเท่านั้น
“ออสเตรเลียมักจะเลือกประเทศที่อยู่ใกล้กับออสเตรเลียมากกว่าประเทศที่อยู่ไกลออกไป ออสเตรเลียจะให้ความสำคัญกับผู้คน เช่น ผู้หญิงที่มีความเสี่ยง และปัจจัยเหล่านั้นถูกนำมาพิจารณา นั่นเป็นการตัดสินใจที่รัฐบาลควรทำ”ในคำแถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทยระบุว่า โครงการเพื่อมนุษยธรรมในต่างประเทศของออสเตรเลียนั้นมีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือต่อสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้หญิงหลากหลายเชื้อชาติในชุดสีขาว Source: Pexels/Anna Shvets
ก่อนการเลือกตั้ง พรรคแรงงานกล่าวว่ามีแผนที่จะเพิ่มจำนวนวีซ่ามนุษยธรรมเป็น 27,000 ต่อปี จากประมาณ 14,000 ต่อปี
นางอดามา กะมารา (Adama Kamara) จากสมาพันธ์ผู้ลี้ภัยแห่งออสเตรเลีย (Refugee Council of Australia) กล่าวว่าออสเตรเลียควรปฏิบัติต่อผู้คนที่หนีจากการกดขี่ข่มเหงด้วยความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น
“โดยรวมแล้วเราสามารถพูดได้ว่านโยบายเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองนั้นไม่ยุติธรรมและควรมีมนุษยธรรมมากกว่านี้ ไม่ว่าผู้คนจะมาจากไหน เราต้องดูว่าเราจะสร้างกระบวนการที่ยุติธรรมมากกว่านี้ได้อย่างไร เราจะให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่ผู้คนได้อย่างไร ในขณะที่พวกเขายื่นขอวีซ่าคุ้มครองพวกเขาจะสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้อย่างไรในขณะที่การเรียกร้องความคุ้มครองของพวกเขากำลังดำเนินการ”
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่