ประเด็นสำคัญ
- เรซูเม่ของคุณแสดงถึงประวัติการทำงาน วุฒิการศึกษา ทักษะ และความสำเร็จของคุณ
- ปรับแต่งเรซูเม่และใบสมัครงานให้เข้ากับตำแหน่งงานเสมอ
- พยายามหาวิธีแสดงทักษะและประสบการณ์ทำงานของคุณในการสมัครงานและในการสัมภาษณ์งาน
กด ▶ ฟังพอดคาสต์ด้านบน
การสมัครงานเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและพลังงาน
ที่ออสเตรเลีย นายจ้างส่วนใหญ่มักขอหลักฐานประวัติการทำงานและทักษะของคุณเป็นรายลักษณ์อักษร ก่อนที่คุณจะเข้าสัมภาษณ์งาน
คุณนาตาลี เพิร์ท (Natalie Peart) จากจ็อบสปีก อคาเดมี (Jobspeak Academy) อบรมพนักงานจากหลากหลายเชื้อชาติให้สามารถมีงานทำได้ในออสเตรเลีย
เธอแนะนำว่าต้องมีการวางแผนที่ดี
บริษัทในออสเตรเลียหลายแห่งให้ความสำคัญเรื่องประสบการณ์การทำงานที่ออสเตรเลีย
"พวกเขาต้องการทราบว่าคุณสามารถทำงานในลักษณะเดียวกับที่คนออสเตรเลียทำได้หรือไม่ หากคุณเพิ่งย้ายมาออสเตรเลีย ลองคิดว่าคุณจะหาประสบการณ์การทำงานในออสเตรเลียได้อย่างไร คุณอาจไม่ได้ทำงานตามอย่างที่ฝันในการทำงานครั้งแรก แต่หากคุณมีกลยุทธ์ที่ดี คุณจะสามารถไปถึงจุดที่คุณต้องการได้ภายใน 2-3 ปี ด้วยทัศนคติเชิงบวกและความอดทน”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
จะหางานในออสเตรเลียได้อย่างไร?
เมื่อคุณหางาน สิ่งสำคัญคือตรวจสอบว่าในสายงานที่คุณเลือกมีข้อกำหนดพิเศษอะไรหรือไม่
คุณแมนดี้ แรตคลิฟฟ์ (Mandy Ratcliffe) ผู้จัดการฝ่ายบริการของ มีคำแนะนำ
“ข้อกำหนดอาจแตกต่างไปในแต่ละนายจ้าง ทุกคนต้องมีหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (tax file number) คุณสามารถสมัครทางออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากรออสเตรเลีย (Australian Taxation Office) อาจมีการขอประวัติอาชญากรรม (police check) หรือขอใบอนุญาตเพื่อทำงานกับเด็ก (Working with Children Check) ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะสมัครงานอะไร”
อีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญคือการอ่านประกาศรับสมัครงานอย่างละเอียด
มีรายละเอียดเรื่องหน้าที่การทำงานอะไรบ้าง? คุณมีคุณสมบัติตามที่นายจ้างต้องการหรือไม่?
“สิ่งแรกคือการอ่านรายละเอียดเพื่อตัดสินใจว่าคุณสามารถสมัครงานนั้นได้ และเป็นงานในระดับที่เหมาะสมกับคุณ จากนั้นมองหาคีย์เวิร์ดต่างๆ สิ่งนี้หมายถึงคุณลักษณะต่างๆ ที่งานนั้นต้องการ ทักษะ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ จากนั้นคิดถึงวิธีที่จะแสดงว่าคุณมีทักษะเหล่านั้น"
การบอกแค่ว่าคุณมีคุณลักษณะตามที่ต้องการนั้นยังไม่เพียงพอ คุณต้องพิสูจน์ได้ด้วยคุณเรตต์คลิฟฟ์แนะนำ
วิธีที่นายจ้างจะสามารถรู้จักคุณได้คือการอ่านประวัติย่อหรือเรซูเม่ของคุณ Source: Moment RF / Narisara Nami/Getty Images
เรซูเม่คือเอกสาร 2-3 หน้าที่มีประวัติการทำงาน วุฒิการศึกษาและทักษะของคุณ นี่เป็นโอกาสที่คุณจะสามารถบอกถึงความสำเร็จของคุณได้
คุณรวี มอร์แมน (Ravi Moerman) ผู้เชี่ยวชาญจากฝ่ายบุคคล (People and Culture) กล่าวว่าไม่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดในการเขียนเรซูเม่ คุณอาจมีเรซูเม่ได้หลายแบบ
“เรซูเม่ที่ดีที่สุดที่คือเรซูเม่ที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้น หากเป็นงานด้านบริหาร คุณควรเน้นถึงประสบการณ์ด้านการเป็นผู้นำให้ชัดเจน เน้นประสบการณ์ด้านการพัฒนาตนเองในสาขาอาชีพที่ช่วยให้คุณเป็นผู้นำที่ดี ปรับแต่งเรซูเม่ให้เหมาะสมกับตำแหน่งงานที่คุณสมัคร”
การใช้ภาษาเดียวกันกับที่ปรากฎในประกาศรับสมัครงานก็เป็นสิ่งสำคัญ อาจเป็นคีย์เวิร์ด (keyword) วลี หรือข้อมูลอ้างอิงที่อยู่ในรายละเอียดของงาน
อย่างไรก็ตามไม่ควรรายละเอียดบางอย่างลงไป
หลีกเลี่ยงการใส่รูปโปรไฟล์โซเชียลของคุณ วันเกิดของคุณ สิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับการคัดสรรพนักงานและอาจทำให้คุณถูกเลือกปฏิบัติได้คุณมอร์แมนแนะนำ
จดหมายแนะนำตัวเป็นสิ่งที่คุณสามารถอธิบายได้ว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้สมัครงานและเหตุใดคุณจึงเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ Credit: Willie B. Thomas/Getty Images
แหล่งข้อมูลและเทมเพลต (template) มากมายทางออนไลน์ รวมถึงบริการช่วยเหลือผู้อพยพย้ายถิ่นเช่น AMES Australia และศูนย์ข้อมูลสำหรับผู้อพยพ (Migrant Resource Centres) ที่สามารถช่วยให้คุณเขียนเรซูเม่ได้
นายจ้างมักขอจดหมายแนะนำตัว (cover letter) หนึ่งหน้าด้วย สิ่งนี้เป็นโอกาสในการอธิบายว่าอะไรคือแรงบันดาลใจให้คุณสมัครงานและเหตุใดคุณจึงเหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้น
ฝ่ายบุคคลมักเห็นจดหมายแนะนำตัวมากมาย ดังนั้นคุณต้องดึงดูดความสนใจของพวกเขาให้ได้
“เราไม่ชอบจดหมายแนะนำตัวแบบธรรมดา การส่งจดหมายแนะนำตัวนับเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจ ยิ่งคุณปรับแต่งและอิงภาษาที่ใช้ในประกาศสมัครงานมากเท่าไหร่ ยิ่งบอกกับผู้อ่านว่า ‘ฉันทุ่มเทความพยายามและเวลาในการทำใบสมัครงานฉบับนี้’”
นายจ้างบางรายจะขอให้คุณตอบคำถามที่ใช้เป็นเกณฑ์การคัดเลือก
นี่เป็นโอกาสที่คุณสามารถแสดงให้เห็นตัวอย่างทักษะ คุณสมบัติและประวัติการทำงานที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน
เมื่อคุณเขียนเกณฑ์การคัดเลือกแล้ว คุณอาจตัดจดหมายแนะนำตัวให้สั้นลงเพื่อหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน และคุณควรกรอกหรือส่งเอกสารที่ต้องการทั้งหมดที่ขอด้วย
สิ่งสำคัญประการสุดท้ายคือการพิจารณาใบสมัครของคุณอย่างรอบคอบก่อนส่ง
การตรวจตัวสะกดและไวยากรณ์ (grammar) เป็นสิ่งสำคัญมาก
"ตรวจสอบให้แน่ใจว่ารายละเอียดทั้งหมดในใบสมัครของคุณถูกต้อง หากภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแรกของคุณ หาคนมาช่วยคุณ ตรวจทุกอย่างให้ละเอียดถี่ถ้วน”
ฝึกตอบคำถามสัมภาษณ์งานกับเพื่อเพื่อเตรียมตัวก่อนสัมภาษณ์งาน Credit: fotostorm/Getty Images
การเตรียมตัวขั้นต่อไปเป็นกุญแจสำคัญ
คุณควรอ่านประกาศรับสมัครงานอีกครั้ง เพราะมันมีข้อมูลทั้งหมดที่ฝ่ายบุคคลต้องการจากคุณ
“คุณต้องจดจำประสบการณ์การทำงานของคุณให้ขึ้นใจ เมื่อคุณถูกถามว่าคุณใช้ทักษะในการทำงานเมื่อไหร่ หรือเมื่อไหร่ที่คุณทำสิ่งที่พวกเขาต้องการ คุณควรหาข้อมูลของบริษัทหรือองค์กรนั้นด้วย ทำความเข้าใจค่านิยมขององค์กร และดูว่าคุณเหมาะสมกับค่านิยมนั้นอย่างไร”
คุณอาจฝึกตอบคำถามสัมภาษณ์งานกับเพื่อน แม้ว่าการสัมภาษณ์งานในแต่ละครั้งจะแตกต่างกัน แต่คุณจะสามารถหาตัวอย่างคำถามที่พบได้บ่อยทางออนไลน์
อีกหนึ่งเคล็ดลับการสัมภาษณ์งานคือการแต่งตัวให้เหมาะสม
“อย่าแต่งตัวสบายเกินไป นายจ้างคาดหวังให้ผู้สมัครแต่งตัวดีเมื่อเข้าสัมภาษณ์งาน คุณควรดูดีเมื่อคุณไปสัมภาษณ์งาน และแสดงความมั่นใจให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
นายจ้างที่ดีมักจะบอกผลการสัมภาษณ์งานทางโทรศัพท์เพื่อให้ข้อเสนอแนะแก่คุณ Source: iStockphoto / nortonrsx/Getty Images/iStockphoto
คุณเพิร์ทสังเกตเห็นว่าหลายคนผิดพลาดในการสัมภาษณ์งานเพราะการพยายามจดจำคำตอบ
“มันไม่โอเค คุณดูเหมือนไม่จริงใจ ผลการวิจัยระบุว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจจ้างคือผู้สมัครเหมาะสมกับวัฒนธรรมขององค์กรหรือไม่ พวกเขาต้องการทราบว่าคุณจะเข้ากับทีมได้ เพื่อดูเรื่องนั้น พวกเขาต้องการเห็นว่าจริงๆ แล้วคุณเป็นคนอย่างไร”
หลังจากที่คุณได้ทำทุกอย่างแล้ว จากนั้นจะเป็นเกมของการรอคอย
แนวทางปฏิบัติที่ดีของนายจ้างคือการแจ้งว่าได้รับใบสมัครงานของคุณแล้วทางอีเมล และแจ้งให้คุณทราบตลอดกระบวนการ
”หากคุณไม่ผ่าน คุณควรได้รับการแจ้งทางอีเมล และหากคุณได้สัมภาษณ์งาน"
พวกเขามักแจ้งผลลัพธ์ของคุณทางโทรศัพท์พร้อมรายละเอียด
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
Settlement Guide: หางานอย่างไรให้ตรงตามทักษะและคุณวุฒิ