ผู้นำในศาสนาและผู้นำของชุมชนที่แตกต่างกันทางภาษาและวัฒนธรรมคือส้วนสำคัญของโปรแกรมเทรนนิ่งใหม่ที่จัดขึ้นเพื่อยุติปัญหาด้านความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก โดยรัฐบาลกลางได้ประกาศจะมีการจัดงบประมาณมากถึง 3 ล้านดอลลาร์เพื่อจัดการอบรมดังกล่าว หวังเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความรุนแรงและตระหนักถึงความสำคัญของการรับมือเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ใช้ความรุนแรงในครอบครัว
การใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นจากการขาดความเคารพต่อสตรี และข้ออ้างต่าง ๆ ที่เราสร้างขึ้นคือสิ่งที่ทำให้ความรุนแรงต่อสตรียังเกิดขึ้นต่อไปในสังคม ซึ่งเรสามารถร่วมมือกันเพื่อยุติความรุนแรงนี้ได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นข้อความจากโฆษณาที่ใช้ในการสร้างความตระหนักถึงปัญหาด้านความรุนแรงในครอบครัว
เป็นเวลาหลายปีที่คำโฆษณาเหล่านี้ถูกใช้เพื่อให้คนในสังคมได้ตระหนักถึงปัญหา
แต่คุณอแมนดา ริชเวิร์ธ (Amanada Rishworth) รัฐมนตรีด้านบริการสังคมอธิบายว่ายังเป็นเรื่องที่น่ากังวล ว่าข้อความสำคัญเหล่านี้นั้นไม่ได้ถูกส่งไปถึงทุกคนอย่างทั่วถึง
เหล่าผู้หญิงที่มาจากสังคมต่างวัฒนธรรมและต่างภาษากันนั้นมีแนวโน้มที่จะเคยผ่านประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงในครอบครัวหรือความรุนแรงทางเพศมาก่อนคุณอแมนดา ริชเวิร์ธ (Amanada Rishworth) รัฐมนตรีด้านบริการสังคมอธิบาย
"ดังนั้นมันชัดแล้วว่าพวกเราจะต้องช่วยให้ผู้หญิงเหล่านี้ได้เข้าถึงความช่วยเหลือ และพวกเรายังตระหนักอยู่เสมอว่ามันมีอุปสรรคที่อาจจะทำให้ผู้หญิงเหล่านี้เข้าถึงความช่วยเหลือได้ยาก ซึ่งสาเหตุมันอาจจะมาจากความไม่เชื่อมั่นในรัฐบาล ความรู้สึกอับอาย หรือการสื่อสารต่างภาษา"
รัฐบาลกลางได้ใช้งบประมาณ 3 ล้านดอลลาร์เพื่อดำเนินการสร้างโปรแกรมเทรนนิ่งนี้ขึ้น หลังจากที่ทางรัฐมนตรีได้พบปะกับผู้นำทางความเชื่อหรือผู้นำในการจัดการด้านต่าง ๆ ของแต่ละชุมชนในย่านซิดนีย์ตะวันตก
ทางรัฐเผยว่า โปรแกรมอบรมดังกล่าวนี้จะมุ่งไปไปที่การให้เหล่าผู้นำชุมชนได้มีมาตรการที่เหมาะสมในการเข้าถึงเหล่าผู้ที่กำลังเผชิญกับความรุนแรง และสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้ ไปพร้อมกับการแบ่งปันความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวในแต่ละชุมชน
การอบรมนี้ยังเป็นสิ่งที่สำคัญกับชุมชน เพราะผู้นำในชุมชนต่าง ๆ นั้นทำหน้าที่เป็นด่านแรกที่ผู้ที่มีปัญหาจะเข้าไปขอคำแนะนำหรือขอความช่วยเหลือ
คุณวิทยาดารัณ ซาร์มา เลขานุการวัดศรี คาร์พากา วินอายการ (Sri Karpaga Vinayagar Temple) ในชุมชนของเขากล่าวว่า มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ผู้นำด้านความเชื่อหรือเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับศาสนาในแต่ละชุมชนนั้น จะมีความเตรียมพร้อมเกี่ยวกับการรับมือและเครื่องมือในการให้ความช่วยเหลือแก่ชุมชนของพวกเขา
ถึงแม้เหล่าผู้นำความเชื่อในศาสนาของชุมชนนั้น ๆ ไม่ได้มีวุฒิที่จะให้คำปรึกษาในทางวิชาการได้ แต่พวกเขาจะเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่ได้มีโอกาสได้เข้าไปพูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวถึงปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญ
ในมุมนึงนั้น พวกเขาทำหน้าที่เหมือนหมอ ที่เมื่อคนที่มีปัญหาได้เข้าไปพบหมอและเล่าถึงปัญหาที่พวกเขามี เช่น ลูกชายไม่ยอมเรียนหนังสือและเอาแต่เที่ยวเล่น การที่พวกเขาได้มาคุยกับพระสงฆ์หรือนักบวชในชุมชนของเขา ก็จะได้รู้สึกสบายใจขึ้นคุณวิทยาดารัณ ซาร์มา เลขานุการวัดในย่านโฮมบุช (Homebush) ร่วมแสดงความเห็น
จากสถิติในออสเตรเลียนั้น มีจำนวนผู้หญิงโดยเฉลี่ย หนึ่งคนต่อหนึ่งสัปดาห์ถูกฆาตกรรมโดยคู่ครองปัจจุบันหรือคู่ครองในอดีต ในขณะที่ผู้หญิง 2 คนในทุก 5 คนนั้นเคยมีประสบการณ์ด้านการถูกใช้ความรุนแรงตั้งแต่อายุ 15
ในปี 2565 รัฐบาลกลางและรัฐบาลของแต่ละรัฐนั้นได้รับปากว่าจะพยายามยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็กภายในรุ่นของพวกเขา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์สิบปีในการบริหารชาติ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ความรุนแรงในครอบครัวและช่องทางช่วยเหลือในออสเตรเลีย
ด้านศาสตราจารย์สุปรียา สิงห์ (Supriya Singh) หนึ่งในผู้ก่อตั้งพันธมิตรสตรี กล่าวว่า การจะแก้ไขตัวเลขทางสถิติเหล่านั้นได้ จะต้องได้รับความสนับสนุนตั้งแต่ระดับรากฐานของสังคม เพราะการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือในปัจจุบันนั้น ทำได้ยาก เพราะในตอนนี้ มีองค์กรเพียงไม่กี่แห่งที่ได้รับทุนเพียงพอ
องค์กรส่วนใหญ่ที่ให้บริการเคสที่มีความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรมเช่นนี้นั้นกำลังฝ่าฟันและพยายามอย่างเต็มที่ในการหาทุนให้เพียงพอที่จะสามารถเปิดบริการได้ องค์กรบางแห่งจำเป็นต้องปิดตัวลง แม้แต่ในตอนที่พวกเขากำลังให้ความช่วยเหลือเคสที่จำเป็นมาก ๆ ในตอนนั้นก็ตามคุณสุปรียา สิงห์ กล่าว
ทางด้านคุณอแมนดา ริชเวิร์ธ (Amanada Rishworth) รัฐมนตรีด้านบริการสังคมกล่าวว่า เธอมั่นใจว่าครั้งนี้นั้นจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
"ใครก็ตามที่ได้นำเทรนนิ่งนี้ไปปฏิบัติตาม จำต้องแสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้น มีความสามารถที่จะประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นนั้น ๆ ได้จริง และต้องมีเครือข่ายที่พร้อมทำงานได้ ซึ่งแน่นอนว่า เราอยากที่จะเข้าถึงผู้นำในแต่ละชุมชน ซึ่งเป็นคนที่คนส่วนใหญ่ชอบเข้าไปขอคำปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ เรื่องการเลี้ยงดูบุตรหลานหรือแม้แต่การปรับทุกข์เรื่องทั่วไป ซึ่งการได้ทำงานร่วมกันกับเหล่าองค์กรที่คนในแต่ละชุมชนเข้าถึงได้จริง ๆ นั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมาก"
การบำบัดรักษานั้นใช้เวลานาน การจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้นั้นจำเป็นต้องต่อเนื่องจึงจะเกิดขึ้นได้ และการระดมเงินทุนนั้นเป็นแนวทางแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น หากองค์กรเหล่านี้ไม่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนที่เพียงพอคุณสุปรียา สิงห์ กล่าว
หากคุณหรือคนรู้จักจำเป็นต้องการพูดคุยเกี่ยวกับความรุนแรงภายในครอบครัว สามารถติดต่อหน่วยงาน 1800RESPECT ได้ที่เบอร์ 1800-737-732 หรือสายตรงด่วนที่เบอร์ 13-11-14