ประเด็นสำคัญ
- จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย “บีเอ.2” และฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและโรคระบาดเฝ้าจับตาการปรากฏขึ้นของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ รวมถึงความสามารถในการแพร่กระจาย และความรุนแรงของอาการเมื่อได้รับเชื้อ
- ความก้าวหน้าในการฉีดวัคซีนบูสเตอร์โควิด-19 ออสเตรเลียนั้นถือว่าทำได้ดีเมื่อเทียบกับนานาประเทศ แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าควรเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนให้ประชาชนเป็นวงกว้างกว่านี้ พร้อมยกตัวอย่างกรณีศึกษาหลายด้านจากในหลายประเทศ
- ในส่วนของวัคซีนบูสเตอร์เข็มที่ 4 แพทย์สาธารณสุขคาดว่าประชาชนทั่วไปจะสามารถเข้าถึงได้ในระยะเวลาอีกประมาณ 6 เดือนข้างหน้า และอีกประมาณ 2-3 เดือนข้างหน้าสำหรับคนทำงานความเสี่ยงสูง และคนทำงานด่านหน้า ขณะที่ยังไม่มีการฟันธงว่าจะมีการประกาศเป็นมาตรการบังคับหรือไม่
ขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ของวิกฤตการแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนา ประชาชนในออสเตรเลียได้สัมผัสกับเชื้อไวรัสอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย “บีเอ.2” ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า สิ่งที่จะปกป้องเราไปตลอดฤดูหนาวนี้คือวัคซีนเข็มกระตุ้น มากกว่าภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อครั้งก่อนหน้า
องค์การอนามัยโลกได้ระบุว่า ขณะที่ไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย บีเอ.2 สามารถแพร่ระบาดได้มากขึ้น แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะทำให้ผู้คนป่วยหนักกว่าเดิม อย่างไรก็ดี ที่พบว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้สามารถแพร่ระบาดได้มากกว่าสายพันธุ์โอมิครอน บีเอ 1 ถึงร้อยละ 40 และทำให้หนูแฮมเตอร์ที่ได้รับเชื้อมีอาการป่วยหนักกว่าเดิม
จากการตรวจสอบหลายระดับของเราได้ชี้แนะว่า ความเสี่ยงของเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน บีเอ.2 สำหรับสุขภาพในระดับโลกนั้นสูงกว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์บีเอ.1 การศึกษาดังกล่าวให้ข้อสรุป
เมื่อสภาพอากาศในออสเตรเลียเริ่มเย็นลง และผู้คนกำลังกลับเข้าไปอยู่ในอาคารสถานที่มากขึ้น การฉีดวัคซีนบูสเตอร์มีความสำคัญอย่างไร ออสเตรเลียคืบหน้าไปแค่ไหนเมื่อเทียบกับนานาประเทศ จะเพียงพอหรือไม่ที่จะปกป้องเราจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน บีเอ.2 และสายพันธุ์อื่น ๆ ในอนาคต รวมถึงคำถามสำคัญที่ว่า วัคซีนบูสเตอร์เข็มที่ 4 จะมาถึงเมื่อไหร่ก่อนที่ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ออสฯ เตือนปชช. เตรียมรับมือ 3 โรคฤดูหนาวนี้
โครงการวัคซีนบูสเตอร์ของออสเตรเลียไปถึงไหนแล้ว
จากจำนวนประชาชนในออสเตรเลียที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป และมีสิทธิได้รับวัคซีนโควิด-19 โดสที่ 3 จำนวน 18,793,478 คน จากระบุว่า มีประชาชนจำนวน 12,455,925 คน (หรือคิดเป็นร้อยละ 66.3) ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็ม 3 แล้ว
อัตราส่วนประชาชนที่มีสิทธิ์รับวัคซีนโควิดที่ได้รับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์เข็ม 3 แล้ว จำแนกเป็นรายรัฐและมณฑล
- รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย (WA) สูงที่สุดในประเทศ คิดเป็นร้อยละ 85
- มณฑลนครหลวงออสเตรเลีย (ACT) คิดเป็นร้อยละ 73.4
- รัฐเซาท์ออสเตรเลีย (SA) คิดเป็นร้อยละ 70.2
- รัฐแทสเมเนีย (TAS) คิดเป็นร้อยละ 68.6
- รัฐวิกตอเรีย (VIC) คิดเป็นร้อยละ 67.5
- มณฑลนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี (NT) คิดเป็นร้อยละ 66
- รัฐนิวเซาท์เวลส์ (NSW) คิดเป็นร้อยละ 62.2
- รัฐควีนส์แลนด์ (QLD) คิดเป็นร้อยละ 61.1
ส่วนจำนวนชนพื้นถิ่นออสเตรเลียที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิดมากกว่าสองโดสอยู่ที่ 179,137 คน คิดเป็นร้อยละ 49
ขณะเดียวกัน ผู้สูงวัยในสถานดูแลผู้สูงอายุ ร้อยละ 92.8 และผู้ที่เข้าร่วมโครงการ NDIS ร้อยละ 70.6 ได้รับการฉัดวัคซีนโควิด-19 แล้วมากกว่า 2 โดส
หน่วยงานสาธารณสุขทั่วออสเตรเลียกำลังผลักดันให้ผู้คนไปรับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาว ซึ่งยังมีอัตราการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ล้าหลังกว่ากลุ่มประชาชนโดยทั่วไป
ประชาชนในออสเตรเลียที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป สามารถจองนัดหมายเพื่อรับวัคซีนบูสเตอร์ได้แล้ว หากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มาแล้วเป็นเวลา 3 เดือนหรือมากกว่า หากได้รับผลการตรวจหาไวรัสโควิด-19 เป็นบวก พวกเขาสามารถรับวัคซีนโดสต่อไปได้เมื่อหายดีแล้ว หรือเลื่อนเวลาในการรับวัคซีนออกไปได้สูงสุด 4 เดือนหลังจากการติดเชื้อ
ศาสตราจารย์นาธาน กริลส์ (Nathan Grills) ศาสตราจารย์และแพทย์สาธารณสุขจาก Nossal Institute at the Melbourne School of Population and Global Health กล่าวว่า หลังจากความสำเร็จของโครงการเปิดตัววัคซีนโควิดโดสแรกเมื่อปีที่ผ่านมา เขาเชื่อว่าเรากำลัง “ตามหลังจุดที่เราควรจะเปิดตัววัคซีนบูสเตอร์”
เขากล่าวว่า มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประชาชนที่จะพึงระลึกว่า การป้องกันหลังการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป 5-6 เดือน
คุณจะยังได้รับการปกป้องบางส่วนจากโรคติดต่อที่รุนแรง แต่ในที่สุดแล้วการป้องกันจากการติดเชื้อก็จะลดลงเป็นศูนย์ แต่วัคซีนบูสเตอร์จะเพิ่มการปกป้องของคุณจากการได้รับไวรัสนี้ได้มากถึง 50% และจะลดโอกาสที่คุณจะมีอาการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงได้ 90% ศาสตราจารย์กริลส์ กล่าวกับเอสบีเอส นิวส์
นายกริลส์ ยังกล่าวอีกว่า วัคซีนบูสเตอร์ยังลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว เช่น ลองโควิด (long COVID) และความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังครอบครัวอีกด้วย
ศาสตราจารย์แคเธอรีน เบนเนตต์ (Prof Catherine Bennett) ประธานด้านระบาดวิทยา จากสถาบันเพื่อการปฏิรูปสุขภาพ มหาวิทยาลัยดีกิน (Deakin University’s Institute for Health Transformation) กล่าวว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าเราได้พบเห็นอัตราการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ในกลุ่มเปราะบางเพิ่มขึ้นถือเป็น “เป็นข่าวดี” แต่ก็ได้กล่าวอีกว่า “มันเป็นสิ่งสำคัญมาก” ในการได้พบเห็นอัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นในหมู่ประชากร
“ไวรัสกำลังแพร่กระจายในชุมชน และมันจะยังคงแพร่กระจายต่อไป เราในฐานะประชากรซึ่งมีภูมิคุ้มกันที่กว้างขวางเช่นนั้น ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่การมีการปกป้องเพิ่มเติมจากวัคซีนบูสเตอร์สามารถสร้างความแตกต่างได้จริง ๆ” ศาสตราจารย์เบนเนตต์ กล่าวกับเอสบีเอส นิวส์
“หากมีผู้ได้รับวัคซีนบูสเตอร์อย่างเพียงพอในหมู่ประชากร นั่นจะไม่หยุดการแพร่กระจายของไวรัส แต่ที่แน่นอนก็คือ มันจะช่วยให้การแพร่กระจายช้าลง”
โครงการวัคซีนบูสเตอร์ของออสเตรเลียเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
จากข้อมูลโดย พบว่า ร้อยละ 18.5 ของประชากรทั่วโลก ได้รับวัคซีนบูสเตอร์โควิด-19 เข็มที่ 3 แล้ว อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่มีอยู่นั้นมุ่งไปที่อัตราร้อยละของประชากรทั้งหมดในแต่ละประเทศ มากกว่าจำนวนประชากรที่มีสิทธิ์ทั้งหมดที่ได้รับวัคซีนบูสเตอร์แล้ว
ส่วนในออสเตรเลียนั้นยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี โดยประชากรร้อยละ 48.3 จากทั้งหมด ได้รับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์เข็ม 3 แล้ว
โดยประเทศชิลีครองอันดับโลกสูงสุด มีประชากรร้อยละ 77.4 จากทั้งหมดที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มสามแล้ว ตามมาด้วยประเทศสิงคโปร์ที่ร้อยละ 69.3 อิตาลีที่ร้อยละ 63.6 และเดนมาร์กที่ร้อยละ 62.1
ส่วนประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนเข็มสามต่ำที่สุดคือประเทศอินเดีย มีประชาชนเพียงร้อยละ 1.4 จากทั้งหมดที่ได้รับวัคซีน ตามมาด้วยบังกลาเทศที่ร้อยละ 3.5 และรัสเซียที่ร้อยละ 8.7
อัตราการฉีดวัคซีนเข็มสามในระดับสูงในประเทศที่มีรายได้สูงบางประเทศนั้น มาจากการเปิดตัววัคซีนโดสแรกและโดสที่สองอย่างรวดเร็ว ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงวัคซีนบูสเตอร์ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์เบนเนตต์ กล่าวว่า การเพิ่มจำนวนของระดับการได้รับวัคซีนบูสเตอร์ในหลายประเทศ “เริ่มแผ่วลง” ซึ่งรวมถึงในออสเตรเลียด้วย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ และอัตราการเสียชีวิตนั้นกำลังรุนแรงขึ้น
ฮ่องกง (มากกว่า 260 คนต่อประชากร 1 ล้านคน เมื่อเทียบกับออสเตรเลียที่ 6.4 คนในอัตราส่วนเดียวกัน) มีอัตราการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ในระดับต่ำที่ร้อยละ 29.6 ของประชากรทั้งหมด
ศาสตราจารย์เบนเนตต์ กล่าวโทษในกรณีของสถานการณ์ในฮ่องกงว่า เป็นเพราะนโยบายทำให้ผู้ติดเชื้อโควิดเป็นศูนย์ (COVID zero strategy) ที่กระตุ้นให้เกิดความชะล่าใจ แต่ก็ได้กล่าวว่ามันคือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญของวัคซีนบูสเตอร์
ฮ่องกงมียอดผู้เสียชีวิตสูง โชคไม่ดีที่นั่นเป็นราคาที่ต้องแลกซึ่งปรากฎอยู่ตรงหน้าเรา สำหรับประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ในระดับสูง เราจะพบเห็นภาพที่แตกต่างไปจากนี้ ศาสตราจารย์เบนเนตต์ กล่าว
ศาสตราจารย์เบนเนตต์ ยกตัวอย่างของประเทศเดนมาร์ก โดยระบุว่า “อัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลยังอยู่ในการควบคุม และมีหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับอัตราการฉีดวัคซีนในระดับสูง”
อาจมีโควิดสายพันธุ์ใหม่ปรากฎขึ้น
ระหว่างที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะมีสายพันธุ์ใดปรากฏขึ้นมาในอนาคต ศาสตราจารย์กริลส์เชื่อว่า เป็นไปได้ที่จะมีสายพันธุ์ที่มีความอันตรายน้อยกว่า เพราะในที่สุดแล้ว ไวรัสก็ไม่ต้องการที่จะฆ่าพาหะที่พวกมันต้องพึ่งพาในการทำให้สามารถแพร่กระจายได้ต่อไป
ผมอยู่ในข้อคิดเห็นที่ว่า เป็นไปได้ที่เราจะมีไวรัสที่มีความรุนแรงน้อยกว่า แต่สามารถติดเชื้อได้มากกว่า ดูเหมือนว่าพวกมันจะครอบคลุมภูมิทัศน์ไวรัส เพราะมันมีประสิทธิภาพมากกว่าในการแพร่กระจาย ผมมั่นใจว่านั่นคือทิศทางของการที่เราจะพบเจอกับสายพันธุ์ต่าง ๆ ในอนาคต ศาสตราจารย์กริลส์ กล่าว
“แต่มันยังมีโอกาสอย่างมีนัยยะที่สายพันธุ์ต่อไปจะมีความรุนแรงมากกว่า และแพร่เชื้อได้ดีเท่ากับสายพันธุ์ในตอนนี้ และนั่นจะเป็นสถานการณ์ที่อันตรายหากคุณไม่ได้รับวัคซีนบูสเตอร์”
ดร.เดโบราห์ โครเมอร์ (Dr Deborah Cromer) เป็นผู้นำกลุ่มระบาดวิทยาโรคติดเชื้อและวิเคราะห์นโยบาย ในโครงการวิเคราะห์โรคติดเชื้อ สถาบันเคอร์บี มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ (Infection Epidemiology and Policy Analytics Group at the Infection Analytics Program at the Kirby Institute, UNSW) เธอเชื่อว่า สถานการณ์ในฤดูหนาวนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะมีเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใดปรากฏขึ้น รวมถึงความรุนแรงของสายพันธุ์นั้น และไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าสายพันธุ์ที่ปรากฏขึ้นในอนาคตจะมีความรุนแรงน้อยลง
“หากมีเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่เป็นไปได้ว่าจะแพร่เชื้อได้สูง แต่มีความรุนแรงน้อยมาก มันก็คงจะเป็นเรื่องดี” ดร.โครเมอร์ กล่าว
“หากมีเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่เป็นไปได้ว่าจะแพร่เชื้อได้สูง แต่มีความรุนแรงกว่า มันคงเป็นเรื่องเลวร้าย และฉันคิดว่ามันจะเป็นปัจจัยที่ใหญ่กว่าในฤดูกาลนี้”
เชื้อโควิด-19 ยังคงแพร่เชื้อได้ดีมาก แต่สิ่งที่มันไม่ต้องการก็คือ การทำให้พาหะของพวกมันป่วยจนมันไม่สามารถแพร่กระจายได้ตลอดระยะแพร่เชื้อ เพราะพาหะจะกักตัว ตราบใดที่ยังคงมีระยะเวลาที่พวกมันสามารถแพร่กระจายได้ ฉันไม่คิดว่าความรุนแรงจะมีผลอะไรมากกับตัวไวรัส เพราะฉะนั้นแล้ว ฉันไม่คิดว่าพวกมันจะต้องพัฒนาให้มีอาการน้อยลง ฉันคิดว่าอาการของโรคไม่เกี่ยวข้องกับไวรัสนี้
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เหตุผลที่วัคซีนโควิดเข็มที่ 4 อาจจำเป็นรับฤดูหนาว
วัคซีนบูสเตอร์เข็มที่ 4 จะมาเมื่อไหร่
พบว่า แม้วัคซีนบูสเตอร์ของไฟเซอร์ และโมเดิร์นา จะยังคงมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันอาการเจ็บป่วย ทั้งระดับปานกลางและรุนแรงจากโควิด-19 เป็นระยะเวลาประมาณ 3 เดือนหลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันดังกล่าวลดลงอย่างมากเมื่อผ่านไปเป็นเวลา 4 เดือน ซึ่งบ่งชี้ว่ามีความจำเป็นจะต้องมีวัคซีนบูสเตอร์เพิ่มเติม
ขณะที่วัคซีนบูสเตอร์จะมีประสิทธิภาพร้อยละ 91 ในการป้องกันผู้ที่ได้รับวัคซีนจากการเข้ารับการรักษาพยาบาลในระยะเวลา 2 เดือน แต่การป้องกันหลังจากผ่านไปแล้ว 4 เดือนลดลงมาเหลือร้อยละ 78 และหลังจากผ่านไปมากกว่า 5 เดือน ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงไปเหลือประมาณร้อยละ 31 (แต่นักวิจัยได้ตั้งข้อสังเกตว่าการประมาณนี้ “ไม่แม่นยำ” เนื่องจากขาดข้อมูลสนับสนุน)
(สำนักทะเบียนการฉีดวัคซีนแห่งออสเตรเลีย (AIR) จะพิจารณาว่าพวกเขาได้รับการฉีดวัคซีนโดยสมบูรณ์ หลังจากฉีดวัคซีนแล้วจำนวน 3 โดส)
ศาสตราจารย์กริลส์ กล่าวว่า การจับตาดูว่าจะมีวัคซีนใดที่ประกาศใช้ในฤดูหนาวนี้เป็นเรื่องน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อมีการพูดถึงประเด็นของ “วัคซีนครอบจักรวาล” ที่สามารถป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้ทุกสายพันธุ์ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาคาดว่าประชาชนจะได้รับวัคซีนบูสเตอร์เข็ม 4 ในเร็ว ๆ นี้
“ภายในระยะเวลา 6 เดือน ประชากรส่วนใหญ่จะได้รับวัคซีนโดสที่ 3 ไปแล้วเป็นระยะเวลามากกว่า 6 เดือน และภูมิคุ้มกันก็จะจางลงอย่างมาก” ศาสตราจารย์กริลส์ กล่าว
มันอาจไม่ใช่มาตรการบังคับ แต่แน่นอนว่า (วัคซีนเข็ม 4) จะสามารถเข้าถึงได้โดยประชาชนทั่วไปภายใน 6 เดือนข้างหน้า คนทำงานที่มีความเสี่ยงสูง และคนทำงานด้านสุขภาพด่านหน้า จะสามารถเข้าถึง (วัคซีนเข็ม 4) ได้เร็วกว่านั้น ผมคิดว่าน่าจะประมาณในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า
ด้าน ดร.โครเมอร์ กล่าวว่า วัคซีนบูสเตอร์นั้นยังคงเป็นแนวป้องกันขนาดใหญ่ที่สุด ณ จุดนี้
”สิ่งที่เรากำลังเห็นทั่วโลกก็คือ การฉีดวัคซีนและบูสเตอร์มีประสิทธิภาพอย่างมากในการป้องกันโรคติดต่อที่รุนแรง ดังนั้นหากมองในเรื่องการปกป้องตัวเราและสังคมของเราจากโรคติดต่อที่รุนแรง ดิฉันคิดว่ายิ่งผู้คนฉีดวัคซีนบูสเตอร์มากขึ้นเท่าไหร่ก็จะยิ่งดีเท่านั้น” ดร.โครเมอร์ กล่าว
แม้ว่าจะมีสายพันธุ์ใหม่ หรือแม้เวลาจะผ่านไปนานพอสมควร วัคซีนยังคงเป็นสิ่งทีดีที่สุดที่เราใช้ในการต่อสู้เพื่อไม่ให้ผู้คนไปจบอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะฉะนั้นแล้วการฉีดวัคซีนบูสเตอร์นั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจจาก เอสบีเอส ไทย
ค่าครองชีพในออสเตรเลียกำลังพุ่งสูงขึ้น ทำไมทุกอย่างถึงแพงจัง?