ออสเตรเลียจะเปลี่ยนไปอย่างไรภายใต้รัฐบาลพรรคแรงงาน

แม้จะยังคงไม่แน่ชัดว่าพรรคแรงงาน (Labor) จะได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก หรือต้องพึ่งพาพรรคกรีนส์และ สส.อิสระ แต่ชัดเจนว่าออสเตรเลียกำลังก้าวเข้าสู่โฉมใหม่ทางการเมือง จากคำสัญญาต่างๆ ที่ให้ไว้ก่อนและระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง นี่คือสิ่งที่เราจะสามารถคาดหวังได้จากรัฐบาลพรรคแรงงาน

นายแอนโทนี อัลบานีซี ผู้นำพรรคแรงงาน ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของออสเตรเลีย (กลาง)

นายแอนโทนี อัลบานีซี ผู้นำพรรคแรงงาน ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของออสเตรเลีย (กลาง) Source: Getty / WENDELL TEODORO/AFP via Getty Images

“ชาวออสเตรเลียโหวตให้แก่การเปลี่ยนแปลง” นายแอนโทนี อัลบานีซี นายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งคนใหม่ของออสเตรเลีย บอกกับผู้ฟังในห้องแถลงข่าวที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของผู้ศรัทธาในพรรคเกือบ 1,000 คนที่อาร์เอสแอล ซิดนีย์ (Sydney RSL) ไม่นานหลังเที่ยงคืนของคืนวันเสาร์เล็กน้อย ที่ร่วมฟังอยู่ด้วยนั้นคือชาวออสเตรเลียหลายล้านคนที่บ้านและพรรคการเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ

นายกรัฐมนตรีวัย 59 ปี ผู้นี้ เป็นลูกชายของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งเป็นผู้รับเงินบำนาญสำหรับผู้ทุพพลภาพ และเขาเติบโตขึ้นมาในบ้านอาคารสงเคราะห์ เขาหวังว่าการเดินทางของเขาจะ "เป็นแรงบันดาลใจให้ชาวออสเตรเลียทุกคนเอื้อมคว้าดวงดาว"

“ผมได้เสนอแผนในเชิงบวกที่ชัดเจนเพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับประเทศของเรา” นายอัลบานีซีกล่าว พร้อมเสริมว่ารัฐบาลของเขามุ่งที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในขณะเดียวกันก็จะไม่รุดรั้งใครไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า อีกทั้งจะ “ส่งเสริมความสามัคคีและการมองอย่างมีความหวัง ไม่ใช่ส่งเสริมความหวาดกลัวและการแตกแยก"

“ไม่ว่าคุณจะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไปอย่างไร … รัฐบาลที่ผมเป็นผู้นำจะเคารพทุกคนในทุกๆ วันของคุณ” นายอัลบานีซี บอกกับฝูงชน
ผู้สนับสนุนพรรคแรงงานฉลองชัยชนะในคืนวันเลือกตั้ง 21 พ.ค. ที่ผ่านมา
ผู้สนับสนุนพรรคแรงงานฉลองชัยชนะในคืนวันเลือกตั้ง 21 พ.ค. ที่ผ่านมา Source: AP / Rick Rycroft/AP
นายอัลบานีซี เป็นผู้นำคนที่ 4 เท่านั้น ที่สามารถนำพรรคแรงงานจากพรรคฝ่ายค้านไปเป็นรัฐบาลได้สำเร็จนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่พรรคของเขาได้รับคะแนนเสียงมากขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วทั้งรัฐนิวเซาท์เวลส์ วิกตอเรีย เซาท์ออสเตรเลีย และเวสเทิร์นออสเตรเลีย

แต่ยังคงไม่ชัดเจนว่าคะแนนเสียงเหล่านั้นจะมากพอที่จะช่วยให้พรรคแรงงานสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากด้วยที่นั่ง 76 หรือไม่ หรือว่าพวกเขาจะต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากพรรคเล็กและ สส.อิสระ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ออสเตรเลียกำลังจะเห็นยุคใหม่ทางการเมือง

ตั้งแต่เรื่องการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงเรื่องการยกเลิกวีซ่าคุ้มครองชั่วคราว และการยกเครื่องเมดิแคร์ (Medicare) นี่คือสิ่งที่เราคาดว่าจะได้เห็นออสเตรเลียที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้รัฐบาลพรรคแรงงาน (Labor)

คำมั่นที่จะ 'ยุติสงครามด้านภูมิอากาศ'

ทั้งนายอัลบานีซี และนายสกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีคนก่อน ไม่ได้ชูประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศแนวหน้าเป็นนโยบายสำคัญในการหาเสียงเลือกตั้ง 6 สัปดาห์ของพวกเขา แต่อย่างไรก็ตามการสำรวจความคิดเห็นประชาชนหรือโพลต่างๆ ระบุว่าสภาพอากาศเป็นประเด็นในการเลือกตั้งที่สำคัญสำหรับชาวออสเตรเลียหลายล้านคน ท่ามกลางเหตุการณ์ภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เช่น ไฟป่าและน้ำท่วม

นโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของพรรคแรงงานนั้นไปไกลกว่าพรรคร่วม (Coalition) ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่ามีส่วนทำให้พรรคแรงงานได้รับการเลือกตั้ง ขณะที่พรรคกรีนส์และผู้สมัครอิสระได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญจากข้อเสนอของพวกเขาเกี่ยวกับเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษ ที่แข็งแกร่งกว่า

นาย อดัม แบนต์ ผู้นำพรรคกรีนส์ (Greens) ซึ่งยินดีอย่างยิ่งกับผลการเลือกตั้งที่สมาชิกพรรคได้รับการเลือกตั้งมากกว่าที่คาดไว้ โดยพรรคกรีนส์คาดว่าจะได้ 4 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร และเขากล่าวว่าพรรคกรีนส์ยินดีจะเจรจาต่อรองกับนายอัลบานีซี หากพรรคแรงงานไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้

ในสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะ นายอัลบานีซีรีบย้ำคำสัญญาของเขาเรื่องสภาพภูมิอากาศ

"ด้วยความร่วมใจกัน เราสามารถยุติสงครามด้านสภาพภูมิอากาศได้" นายอัลบานีซี กล่าว และเสริมว่า มีความเป็นไปได้ที่ออสเตรเลียจะกลายเป็น "มหาอำนาจด้านพลังงานหมุนเวียน"
จาก ของพรรคแรงงาน ซึ่งเผยแพร่ในเดือนธันวาคม 2021 ระบุถึงข้อผูกพันต่อเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษภายในปี 2030 ให้เหลือร้อยละ 43 ของระดับปี 2005 ซึ่งระบุว่าจะช่วยให้ออสเตรเลียสามารถไปสู่การปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ภายในปี 2050

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ พรรคแรงงานกล่าวว่าจะลงทุน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อยกระดับโครงข่ายไฟฟ้า (เครือข่ายที่เชื่อมต่อการจ่ายไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าไปยังผู้บริโภค) เพื่อให้สามารถรับมือกับการจ่ายพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ได้มากขึ้น

พรรคแรงงานยังได้ประกาศแผนการที่จะยกเลิกภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้มีราคาถูกลงราว 2,000-12,000 ดอลลาร์ และติดตั้งแบตเตอรี่ชุมชนหลายร้อยชุดทั่วประเทศ ซึ่งจะจัดเก็บพลังงานจากแผงผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ซึ่งติดตั้งอยู่บนหลังคาอาคารต่างๆ และจัดเก็บพลังงานที่จะใช้ร่วมกันได้ถึง 100,000 ครัวเรือน

นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะติดตั้งที่จัดเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์ 85 แห่ง ที่จะเป็นประโยชน์แก่ครัวเรือนกว่า 25,000 ครัวเรือน ที่ไม่สามารถเข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซลาร์บนหลังคาได้ เช่น ผู้เช่าที่อยู่อาศัยและครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ

ภายใต้นโยบายที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ภาครัฐบาลและบริการสาธารณะจะต้องปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ภายในปี 2030 แม้ว่ากองทัพออสเตรเลีย ตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลีย กองกำลังพิทักษ์พรมแดนของออสเตรเลีย และหน่วยงานด้านความมั่นคงจะได้รับการยกเว้นจากเรื่องนี้

พรรคแรงงานจะจัดสรรเงิน 3 พันล้านดอลลาร์เพื่อลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น “โลหะสีเขียว” (แร่ที่ใช้ในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด) และพยายามปรับเปลี่ยนสิ่งที่เรียกว่า "กลไกเพื่อป้องกัน" (Safeguard Mechanism) ของรัฐบาล

"กลไกเพื่อป้องกัน" (Safeguard Mechanism) จะทำให้ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมากต้องเสียเงินสำหรับการปล่อยมลพิษเหล่านั้น โดยสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป โดยเริ่มต้นที่สิทธิ์การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 100,000 ตันของต่อปี สภาธุรกิจแห่งออสเตรเลียได้เสนอให้ลดเกณฑ์ขั้นต่ำลงเหลือ 25,000 ตัน และพรรคแรงงานกล่าวว่าพรรคจะรับคำแนะนำนี้

พรรคกรีนส์ได้ประกาศรายการสิ่งที่พรรคต้องการสำหรับการเจรจากับพรรคแรงงาน ในกรณีที่พรรคแรงงานอาจต้องขอการสนับสนุนจากพรรคกรีนส์หากเกิดภาวะสภาแขวน (hung parliament) โดยหนึ่งในสิ่งที่พรรคกรีนส์ต้องการคือ ความมุ่งมั่นที่จะยุติการใช้ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ
นาย อดัม แบนต์ ผู้นำพรรคกรีนส์ (Greens)
นาย อดัม แบนต์ ผู้นำพรรคกรีนส์ (Greens) Source: AAP / LUIS ASCUI/AAPIMAGE
นายแบนต์ยังกล่าวอีกว่า เขาจะเรียกร้องให้รัฐบาลชุดต่อไปลงนามคำมั่นระดับโลกด้านก๊าซมีเทนระดับโลก (Global Methane Pledge) ของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐ เพื่อยุติการใช้ก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญอันดับสองของภาวะโลกร้อนที่เกิดจากมนุษย์ รองจากคาร์บอนไดออกไซด์

การยกเลิกวีซ่าคุ้มครองชั่วคราว

จุดยืนของพรรคแรงงานในเรื่องการปกป้องพรมแดนและวีซ่าคุ้มครองชั่วคราวเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสับสนในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง และพรรคยังไม่ได้ออกนโยบายที่แข็งกร้าวด้านการรับผู้อพยพย้ายถิ่น แม้ว่าพรรคจะส่งสัญญาณว่าระบบปัจจุบันนั้นจำเป็นต้องถูกยกเครื่องใหม่

อย่างไรก็ตาม นายอัลบานีซีบ่งชี้ว่าเขาสนับสนุนการดำเนินการนอกชายฝั่งออสเตรเลียเกี่ยวกับวีซ่าคุ้มครอง ให้มีการตั้งถิ่นฐานใหม่สำหรับผู้ขอลี้ภัยในประเทศที่สาม และการผลักดันเรือผู้ขอลี้ภัยกลับไปหากสามารถทำได้อย่างปลอดภัย แต่เขาไม่สนับสนุนวีซ่าคุ้มครองชั่วคราว (TPV)

วีซ่าคุ้มครองชั่วคราว (TPV) ออกให้แก่ผู้ขอลี้ภัยที่เดินทางมาถึงออสเตรเลียโดยไม่มีวีซ่าใดๆ เลย และต่อมายื่นขอรับความคุ้มครองจากออสเตรเลีย วีซ่านี้อนุญาตให้ผู้ถือวีซ่าอยู่ในออสเตรเลียได้นานสูงสุดสามปี และผู้ถือวีซ่าได้รับอนุญาตให้ทำงานและมีสิทธิ์เข้าถึงเมดิแคร์ (Medicare)

นายกรัฐมนตรีคนใหม่กล่าวว่า พรรคแรงงานอาจพิจารณาอนุมัติให้แรงงานต่างชาติได้รับสถานะผู้อยู่อาศัยถาวรหากได้จัดตั้งรัฐบาล หากแรงงานต่างชาติเหล่านั้นได้อาศัยอยู่ในชุมชนมานานแล้วและจ่ายภาษี

“ถ้าคุณมีคนที่มาที่นี่ชั่วคราว ปีแล้วปีเล่า ใช้เวลาที่นี่เดือนแล้วเดือนเล่า แล้วทำไมเราไม่ให้ความมั่นใจกับพวกเขาสักหน่อยและยอมให้คนที่สร้างคุณประโยชน์ให้ประเทศนี้ได้อาศัยอยู่ที่นี่จริง ๆ บ้างล่ะ” นายอัลบานีซี กล่าวในประชุมสหพันธ์เกษตรกรแห่งชาติเมื่อเดือนเมษายน

ความมุ่งมั่นเกี่ยวกับ Uluru Statement from the Heart

ในการกล่าวเปิดสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะเมื่อคืนวันเสาร์ นายอัลบานีซี กล่าวว่า เขามุ่งมั่นให้มี "การรับรอง Uluru Statement from the Heart (แถลงการณ์อูลูรูจากหัวใจ) อย่างเต็มฉบับ"

Uluru Statement from the Heart (แถลงการณ์อูลูรูจากหัวใจ) เป็นข้อตกลงกับผู้แทนชาวพื้นเมือง 250 คน และจัดทำแผนงานสำหรับการยอมรับชนกลุ่มแรกของชาติในรัฐธรรมนูญของออสเตรเลีย โดยเรียกร้องให้มีตัวแทนชาวพื้นเมืองในรัฐสภา
ในระหว่างการหาเสียง นายอัลบานีซีได้ยืนยันความมุ่งมั่นของเขาก่อนหน้านี้ที่จะให้มีตัวแทนของชาวพื้นเมืองในรัฐสภา โดยกล่าวว่า ควรมีการยอมรับในรัฐธรรมนูญว่าประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียไม่ได้เริ่มต้นในปี 1788

แต่เขาปฏิเสธว่าตัวแทนชาวพื้นเมืองจะไม่ใช่การจัดให้มีสภาที่สามในรัฐสภา โดยกล่าวว่าองค์กรตัวแทนชาวพื้นเมืองในรัฐสภาที่ว่านี้ จะช่วยให้ชนกลุ่มแรกของชาติสามารถแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ที่ส่งผลต่อเรื่องสุขภาพ การศึกษา และที่อยู่อาศัย

ในสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะ นายกรัฐมนตรีที่ได้รับเลือกตั้งคนใหม่ของออสเตรเลีย กล่าวว่า นาง ลินดา เบอร์นีย์ หญิงชาวพื้นเมือง ชนเผ่าวิแรนด์จูรี (Wiradjuri) จะเป็นรัฐมนตรีด้านกิจการชนพื้นเมืองของรัฐบาลชุดใหม่นี้

นางเบอร์นีย์เข้ารับตำแหน่งต่อจากนายเคน ไวแอตต์ ของพรรคร่วม ที่เคยเป็นด้านชนพื้นเมืองออสเตรเลีย ซึ่งไม่ได้รับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง ฮาสลัก (Hasluck) ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย
นาง ลินดา เบอร์นีย์
นาง ลินดา เบอร์นีย์ Source: AAP

แผนการขึ้นค่าแรงและแก้ปัญหาค่าครองชีพ

นายอัลบานีซีกล่าวในการปราศรัยประกาศชัยชนะว่าเขาต้องการ "เศรษฐกิจที่ทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่ในทางกลับกัน"

“ด้วยการร่วมใจกัน เราสามารถจะร่วมกันทำงานเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งภาคธุรกิจและสหภาพแรงงานเพื่อขับเคลื่อนผลิตภาพ เพิ่มค่าจ้าง และเพิ่มผลกำไร” นายอัลบานีซี กล่าว

หัวหน้าพรรคแรงงานได้สัญญาว่าจะจัดการประชุมสุดยอดอย่างเต็มรูปแบบด้านการจ้างงานหากชนะการเลือกตั้ง เพื่อหาวิธีทำให้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น

ซึ่งจะรวมถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5.5 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ทันกับระดับเงินเฟ้อ หากได้รับการสนับสนุนจาก คณะกรรมการแฟร์เวิร์ก (Fair Work Commission)

เขายังให้คำมั่นที่จะช่วยให้ผู้หญิงมากขึ้นได้ทำงาน โดยเปลี่ยนแปลงการจ่ายเงินอุดหนุนสำหรับการใช้บริการดูแลเด็กเล็กให้เป็นแบบถ้วนหน้าที่ทุกคนเข้าถึงได้ ภายใต้แผนดังกล่าว เงินอุดหนุนสูงสุดสำหรับค่าบริการดูแลเด็กเล็กจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 85 ของค่าบริการเป็นร้อยละ 90 และจะยกเลิกการจำกัดจำนวนเงินอุดหนุนสูงสุดต่อปี นายอัลบานีซีอ้างว่านโยบายนี้จะทำให้ค่าบริการการดูแลเด็กถูกลงสำหรับครอยครัวร้อยละ 96

“ด้วยการร่วมใจกัน เราสามารถผลักดันเรื่องโอกาสที่เท่าเทียมกันของผู้หญิงให้เป็นวาระสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมของชาติ” นายอัลบานีซีกล่าวหลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง

แผนเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการดูแลสุขภาพถ้วนหน้า

การดูแลสุขภาพเป็นจุดมุ่งเน้นของพรรคแรงงานตลอดการหาเสียงในเขตเลือกตั้งที่คะแนนเสียงสูสีกันมาก โดยนายอัลบานีซีกล่าวในสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะ ให้คำมั่นว่าจะ "เสริมสร้างระบบดูแลสุขภาพแบบถ้วนหน้าให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นผ่านเมดิแคร์ (Medicare)"

ผู้นำพรรคแรงงานประกาศจะให้มีทดลองเปิด เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้แก่ครอบครัวต่างๆ แทนแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่มีคนไข้มากมาย

คลินิกเหล่านี้ ซึ่งเรียกว่า Medicare Urgent Care Clinics จะรักษาผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน รวมถึงการดูแลสำหรับกระดูกหัก แผลไฟไหม้เล็กน้อย และการเย็บแผล เพื่อลดจำนวนคนไข้ของแผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาล

คลินิกเหล่านี้จะตั้งอยู่ที่คลินิกแพทย์ทั่วไปและที่ศูนย์สุขภาพชุมชนทั่วประเทศ โดยจะใช้งบประมาณกว่า 135 ล้านดอลลาร์สำหรับระยะเวลา 4 ปี

นายอัลบานีซีกล่าวว่าครอบครัวต่างๆ จะสามารถรับการรักษาพยาบาลที่ต้องการได้โดยไม่ต้องรอนาน
“ไม่ว่าคุณจะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไปอย่างไร … รัฐบาลที่ผมเป็นผู้นำจะเคารพทุกคนในทุกๆ วันของคุณ” นายอัลบานีซี บอกกับฝูงชน
“ไม่ว่าคุณจะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไปอย่างไร … รัฐบาลที่ผมเป็นผู้นำจะเคารพทุกคนในทุกๆ วันของคุณ” นายอัลบานีซี บอกกับฝูงชน Source: AP / Rick Rycroft/AP
ในสัปดาห์สุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคแรงงานยังให้คำมั่นว่าจะลงทุน 970 ล้านดอลลาร์เพื่อส่งเสริมการรักษาพยาบาลเบื้องต้น ซึ่งรวมถึง งบประมาณ 750 ล้านดอลลาร์ เพื่อ “ทำให้เมดิแคร์แข็งแกร่ง (Strengthening Medicare)” ที่จะเปิดตัวในปี 2023-24 และจะให้งบประมาณ 220 ล้านดอลลาร์สำหรับการอัปเกรดบริการแพทย์ทั่วไป (GP)ในท้องถิ่น

พรรคแรงงาน กล่าวว่างบประมาณใหม่นี้จะช่วยปรับปรุงให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการดูแลจากแพทย์ทั่วไป หรือแพทย์จีพีได้มากขึ้น และช่วยให้การดูแลอาการป่วยที่ซับซ้อนและเรื้อรังทำได้ง่ายขึ้นและถูกลง ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อโรงพยาบาลต่างๆ ของรัฐได้

นอกจากนี้ นายอัลบานีซียังให้คำมั่นที่จะจัดตั้งคณะทำงานซึ่งมีรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานเพื่อหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ใหม่การดูแลสุขภาพเบื้องต้น โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานและองค์กรทางการแพทย์ทั้งหมด รวมทั้งสมาคมการแพทย์แห่งออสเตรเลีย วิทยาลัยแพทย์ทั่วไปแห่งออสเตรเลีย วิทยาลัยด้านการแพทย์ในชนบทแห่งออสเตรเลีย เวทีเสวนาด้านการแพทย์เพื่อผู้บริโภค และองค์กรสุขภาพชุมชนที่ดูแลโดยชาวอะบอริจินแห่งชาติ

นายอัลบานีซียังให้คำมั่นในสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะที่จะ "แก้ไขวิกฤตในการดูแลผู้สูงอายุ" หลังจากให้คำมั่นที่จะ ในการสุนทรพจน์โต้ตอบเกี่ยวกับร่างงบประมาณแผ่นดินเมื่อต้นปีนี้

พรรคแรงงานต้องการให้คนท้องถิ่นได้ทำงานในตำแหน่งงานเหล่านี้ แต่กล่าวว่าในระยะสั้นออสเตรเลียต้องรับแพทย์และพยาบาลจากต่างประเทศเข้ามาทำงาน โดยเป็นมาตรการชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหานี้

คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตคอรัปชันแห่งชาติ

และสุดท้าย นายอัลบานีซีได้ให้คำมั่นที่จะออกกฎหมายจัดตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติภายในสิ้นปีนี้

นายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งใหม่ผู้นี้ กล่าวว่า จะมีเวทีให้สาธารณะได้สามารถแสดงความเห็นเกี่ยวกับกรณีข้อความหาการทุจริตคอรัปชันต่างๆ และจะขึ้นอยู่กับคณะกรรมการว่าจะมีการพิจารณากรณีต่างๆ เมื่อใด ขณะที่คณะกรรมการจะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้อำนาจย้อนหลังสำหรับกรณีต่างๆ หรือไม่


คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์  

บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่ 

Share
Published 23 May 2022 12:12pm
By Caroline Riches
Presented by Parisuth Sodsai
Source: SBS News

Share this with family and friends