LISTEN TO
นายกออสฯ หวังพรมแดนเปิดได้ปีหน้า แต่อัตราฉีดวัคซีนยังน้อย
SBS Thai
25/06/202110:10
ประเด็นสำคัญ
- นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียแสดงความหวัง ว่าพรมแดนระหว่างประเทศของออสเตรเลียจะกลับมาเปิดอีกครั้งในช่วงปี 2022
- อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิดครบโดสของออสเตรเลียมีเพียง 3.3% ซึ่งยังคงรั้งท้ายนานาประเทศที่พัฒนาแล้ว
- สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาใน NSW ยังคงน่ากังวล มุขมนตรีเตือน ปชช.ใช้ความระมัดระวัง-ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
นายสกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ได้แสดงความหวังว่า ชาวออสเตรเลียจะสามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ในปี 2022 แต่ไม่ได้รับประกันว่าพรมแดนระหว่างประเทศจะปิดไปจนถึงช่วงเทศกาลคริสต์มาสปีหน้าหรือไม่
ขณะที่จำนวนประชากรในออสเตรเลียที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาอย่างสมบูรณ์นั้นมีเพียงร้อยละ 3.3 เมื่อเทียบกับร้อยละ 45 ในสหรัฐ ฯ ร้อยละ 47 ในสหราชอาณาจักร และร้อยละ 57 ในอิสราเอล
นายมอร์ริสัน เป็นหนึ่งในร้อยละ 3.3 จากประชากรทั้งประเทศ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาอย่างสมบูรณ์ โดยเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม G7 ในสหราชอาณาจักร และอยู่ระหว่างกักตัวที่โรงแรมเดอะ ลอดจ์ (The Lodge) ในกรุงแคนเบอร์รา เพื่อเฝ้าระวังอาการของโรคโควิด-19
มีการคาดการณ์ว่า ออสเตรเลียจะยังคงไม่เปิดพรมแดนระหว่างประเทศ ไปจนถึงช่วงกลางปีหน้าเป็นอย่างน้อย ยกเว้นกับประเทศนิวซีแลนด์และประเทศอื่น ๆ ในเขตการเดินทางพิเศษ (travel bubble) ซึ่งอาจมีการประกาศเพิ่มเติมในอนาคต
แต่ระหว่างการพูดคุยที่สถานีวิทยุ 2GB กับนายเบน ฟอร์ดแฮม (Ben Fordham) นายมอร์ริสัน ทำได้เพียงแสดงความหวัง ว่าจะไม่มีการขยายเวลาปิดพรมแดนออกไปให้นานกว่านี้
นายฟอร์ดแฮม: “เป็นไปได้หรือเปล่า ที่เราอาจไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศจนถึงช่วงคริสต์มาสปี 2022?”
นายมอร์ริสัน: “นั่นนานเกินไป ที่ผมจะหมายถึงก็คือ ผมหวังอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ในปี 2022 และผมหวังว่าเราจะทำได้ทันทีหากมันปลอดภัย สิ่งที่เราจะได้พบเห็นในอนาคตนั้น คงเป็นประสบการณ์ตอนที่ผมอยู่ที่อังกฤษ นั่นคือประเทศที่ผมคิดว่าน่าจะมีประชากรประมาณ 76% ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ตอนผมอยู่ที่นั่น มีผู้ติดเชื้อประมาณวันละ 8,000 คน และมีคนที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลมากขึ้น เพราะมีเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่”
ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันในสหราชอาณาจักรยังคงอยู่ในระดับสูงถึงวันละประมาณ 8,000 – 9,000 ราย เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะที่มีประชากรร้อยละ 47 จากทั้งประเทศ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโดยสมบูรณ์
ส่วนที่สหรัฐ ฯ มีประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนโดยสมบูรณ์ร้อยละ 45 จากทั้งประเทศ มีชาวอเมริกันบางส่วนเลือกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางในทวีปยุโรป ในวันหยุดช่วงฤดูร้อนนี้
แต่สำหรับออสเตรเลียนั้น ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนยังคงตามหลังนานาประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยการเปลี่ยนแปลงแนวทางการฉีดวัคซีนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เปรียบเหมือนการแตะเบรกชะลอความคืบหน้าในโครงการเปิดตัววัคซีนระดับชาติ ที่เดิมทีก็มีความล่าช้าอยู่แล้ว
โดยขณะนี้ วัคซีนของไฟเซอร์ เป็นวัคซีนที่แนะนำให้ฉีดสำหรับประชาชนที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี แต่ทว่าออสเตรเลียมีวัคซีนของไฟเซอร์ไม่เพียงพอกับความต้องการในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลในแต่ละรัฐและมณฑลได้เน้นย้ำมาเป็นเวลาหลายเดือน
ขณะที่วัคซีนของแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ได้รับการกำหนดให้ฉีดได้สำหรับประชาชนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปเท่านั้น นั่นทำให้ความต้องการวัคซีนของไฟเซอร์เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
อัลฟา เดลตา แคปปา สายพันธุ์ไวรัสโคโรนาที่คนในออสเตรเลียควรรู้
รัฐบาลสหพันธรัฐ ได้ทำการแต่งตั้งบรรดาสมาชิกจากกองทัพ เป็นบุคคลที่พูดคุยกับสาธารณะเกี่ยวกับโครงการเปิดตัววัคซีน หนึ่งในนั้นคือ พล.ท.จอห์น ฟรีเวน (Lt Gen.John Frewen) ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลกำลังสำคัญในโครงการเปิดตัววัคซีนโควิด-19 ในระดับชาติครั้งนี้
“สำหรับวัคซีนไฟเซอร์นั้น ในตอนนี้ เรากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีทรัพยากรจำกัด ซึ่งเราจำเป็นต้องจัดการอย่างระมัดระวัง แต่จากการคาดการณ์ล่าสุด เราคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนวัคซีนของไฟเซอร์ได้ภายในเดือนสิงหาคม – กันยายนนี้ และอาจเป็นไปได้ว่าจะถึงเดือนตุลาคม” พล.ท.ฟรีเวน กล่าว
“ดังนั้น ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างไตรมาสที่ 3 และ 4 เราคาดว่าจะมีการหมุนเวียนของวัคซีนของไฟเซอร์ที่คล่องตัวขึ้น และเราจะเริ่มจัดสรรวัคซีนได้อย่างเป็นอิสระ แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น เรายังคงต้องจัดการสิ่งที่เรามีอยู่ให้เพียงพอสำหรับสิ่งที่เป็นลำดับความสำคัญสูงสุดในตอนนี้”
ขณะที่ พล.ร.จ.เอริก ยัง (Commodore Eric Young) จากกองทัพออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ร่วมประสานงานในการเปิดตัววัคซีนของออสเตรเลียในครั้งนี้ กล่าวว่า วัคซีนของไฟเซอร์นั้น ขณะนี้ได้มีการฉีดให้กับประชาชนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนของเครือจักรภพทั้ง 22 แห่ง โดยจะมีการเพิ่มจุดฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ให้มากขึ้นในอนาคต
จุดฉีดวัคซีนไฟเซอร์จะเพิ่มเป็น 70 จุดในสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม และ 136 จุด ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ สำหรับแพทย์จีพีที่จะทำการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์นั้น เราตั้งเป้าไว้ที่ 500 คน ในสัปดาห์ของวันที่ 5 ก.ค. และเพิ่มอีก 500 คน ในสัปดาห์ของวันที่ 12 ก.ค. และอีก 300 คน ในสัปดาห์ของวันที่ 19 ก.ค.” พล.ท.จ.ยัง กล่าว
“และท้ายที่สุด เราจะทำให้แน่ใจได้ว่า ระบบการจองนัดหมายฉีดวัคซีนของแต่ละรัฐและมณฑล รวมถึงระบบตรวจสอบสิทธิ์ และระบบค้นหาคลีนิกฉีดวัคซีน จะได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ที่เพิ่งได้รับสิทธิ์ฉีดวัคซีนรายใหม่ สามารถค้นหาคลินิก และเข้าถึงวัคซีนได้”
บรรดาเจ้าหน้าที่จากกองทัพออสเตรเลีย ร่วมแถลงการณ์ที่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ร่วมกับ ศาสตราจารย์พอล เคลลี (Prof Paul Kelly) ประธานเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หลังการหารือของคณะรัฐบาลแห่งชาติเมื่อเร็ว ๆ นี้
ศาสตราจารย์เคลลี ได้ขอให้ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป มารับการฉีดวัคซีน
“ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกามีมากกว่าความเสี่ยง และคุณจำเป็นที่จะต้องไปรับการฉีดวัคซีนนี้ เรื่องสำคัญอย่างที่สอง ซึ่งเป็นที่พูดถึงในพื้นที่สื่อเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นั่นก็คือ หากคุณได้รับวัคซีนโดสแรกเป็นของแอสตราเซเนกา ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม อย่ายกเลิกนัดหมายการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เราจะไม่ฉีดวัคซีนโควิดปะปนกันในจุดนี้ คุณจำเป็นจะต้องรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ให้เหมือนกับเข็มแรก โดยไม่ฉีดผสมกัน” ศาสตราจารย์เคลลี กล่าว
ระหว่างที่ออสเตรเลียยังคงรั้งท้ายในหลายประเทศ สำหรับความก้าวหน้าในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน แต่ นายเกร็ก ฮันท์ รัฐมนตรีสาธารณสุขของออสเตรเลีย ได้ใช้ช่วงเวลาการอภิปรายในสภาเน้นย้ำในส่วนของตัวเลขสถิติ ซึ่งเขากล่าวว่า จะได้รับการต้อนรับโดยชาวออสเตรเลีย
“ปีนี้มีผู้เสียชีวิตจากโควิดทั่วโลกกว่า 2 ล้านคน ขณะที่ยังไม่มีชาวออสเตรเลียที่ได้รับเชื้อโควิดและเสียชีวิตในปีนี้ สถิติที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันนี้นั้นแทบเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดคิดได้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่นั่นคือจุดที่ออสเตรเลียได้ก้าวมาถึงในตอนนี้” นายฮันท์ กล่าว
ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรัฐนิวเซาท์เวลส์ยังคงต้องรับมือกับการแพร่ระบาดใหญ่ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นางกลาดีส์ เบเรจิกเลียน มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า มาตรการบังคับสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ภายในอาคารสถานที่ ในพื้นที่ Greater Sydney, Blue Mountains, Shoalhaven และ Wollongong อาจเป็นไปได้ว่าจะขยายออกไปนานกว่ากรอบเวลาที่ได้มีการกำหนดในตอนแรก
นอกจากนี้ นางเบเรจิกเลียน ยังได้ขอให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และคิดอยู่เสมอว่า ผู้คนที่พวกเขาได้พบปะอาจมีเชื้อไวรัสโควิด-19
“เมื่อคุณออกจากบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตาม คุณจะต้องคิดอยู่เสมอว่า ผู้คนที่อยู่ในระยะใกล้เคียงมีเชื้อโควิด
“เราทราบจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เราพบ โดยเฉพาะในกลุ่มก้อนการติดเชื้อที่มีอยู่ในตอนนี้ว่า ในบางกรณี การส่งผ่านเชื้อเกิดขึ้นอย่างน่ากลัวด้วยการพบกันเพียงครู่เดียว โดยที่พวกเขาไม่ต้องพบหรือสัมผัสกัน เพียงแต่อยู่ในพื้นที่ซึ่งมีอากาศหายใจร่วมกัน” นางเบเรจิกเลียน กล่าว
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจจาก เอสบีเอส ไทย
NSW ออกมาตรการโควิดใหม่ คุณทำอะไรได้และไม่ได้บ้าง