ประเด็นสำคัญ
- การโจรกรรมข้อมูลมีหลายวิธี ทั้งฟิชชิ่ง สกิมมิง ใช้ศิลปะในการหลอก การแฮ็ก การค้นหาไฟล์ที่ลบทิ้ง
- การโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลสามารถเกิดได้ทั้งออนไลน์หรือออฟไลน์ หรือทั้งสองอย่างรวมกัน
- หากคุณเชื่อว่าคุณเป็นเหยื่อการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล ควรติดต่อองค์กรที่เกี่ยวข้องทันที
กด ▶ ฟังพอดคาสต์ด้านบน
การโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล (Identity crime/theft) เป็นปัญหาที่น่าวิตกมากขึ้นเรื่อยๆ ในออสเตรเลีย สิ่งนี้ทำให้รัฐบาลออสเตรเลีย บริษัทเอกชนและบุคคลทั่วไปต้องสูญเงินจำนวนมาก
การทราบว่าการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลเกิดขึ้นได้อย่างไรสามารถช่วยปกป้องข้อมูลส่วนตัวของคุณและช่วยลดความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อได้
ด็อกเตอร์สุรางค์ เสนีวิรัตน์ (Suranga Seneviratne) อาจารย์สอนด้านความปลอดภัยจากภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ (School of Computer Science at Sydney University) อธิบายถึงการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลว่าเป็นการขโมยข้อมูลที่นำไปใช้เพื่อการฉ้อโกงและเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน
“อาชญากรรมประเภทนี้มักเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ (scammer) หรือผู้ร้ายที่นำบัตรเครดิตของบุคคลอื่นไปใช้ บางกรณี เช่น การขอคืนภาษี ขอรับสวัสดิการสังคม หรือขอเงินกู้ ด้วยการแสวงประโยชน์หรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น บุคคลที่ตกเป็นเป้าหมายอาจไม่ทราบว่ากำลังถูกเอาเปรียบ”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
"ออปตัส" ถูกโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ คาดข้อมูลลูกค้านับล้านรั่ว
จากข้อมูลของสแกมวอช (Scamwatch) เว็บไซต์ที่ดำเนินการโดยคณะกรรมาธิการด้านการแข่งขันและผู้บริโภคแห่งออสเตรเลีย (Australian Competition and Consumer Commission ) หรือเอทริปเปิลซี (ACCC) เพื่อให้ความรู้แก่สาธารณชนให้รู้จัก หลีกเลี่ยง และรายงานการหลอกลวงต่างๆ เว็บไซต์ระบุว่ามีประชาชนออสเตรเลียที่ถูกหลอกต้องสูญเสียเงินจำนวน 568 ล้านดอลลาร์ในปี 2022
ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเกือบ 80% จากรายงานของปี 2021 ซึ่งมีมูลค่าการสูญเงินจำนวน 320 ล้านดอลลาร์ เพราะเหยื่อมักไม่รายงานจำนวนเงินที่เสียไปต่อเจ้าหน้าที่ ด้าน
การโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลเกิดขึ้นได้หลายวิธี ได้แก่ การฟิชชิง (Phishing) สกิมมิง (Skimming) ใช้วิธีศิลปะหลอกลวงทางสังคม (Social engineering) การแฮ็ก (Hacking) การรื้อค้นไฟล์ที่ลบทิ้ง (Dumpster diving) สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน
คุณแคทริโอนา โลว์ (Catriona Lowe) รองประธานคณะกรรมาธิการเอทริปเปิลซีกล่าวว่าข้อมูลที่อาจดูว่ามีค่าน้อยก็อาจกลายเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์กับสแกมเมอร์ได้ เมื่อรวมสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้เข้าด้วยกัน
“สิ่งอย่างเช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ของคุณเพียงอย่างเดียวอาจทำอะไรได้ไม่มากนัก แต่หากรวมข้อมูลเข้าด้วยกันอาจทำได้มากขึ้น เอกสารระบุตัวตนที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือ ใบขับขี่ พาสปอร์ต และบัตรเมดิแคร์ (Medicare) แต่เอกสารอย่างเช่น บิลหรือใบแจ้งยอดธนาคารเก่าอาจเป็นข้อมูลที่มีค่าได้”
อาชญากรไซเบอร์สามารถเข้าบัญชีธนาคารของคุณและทำในสิ่งที่คุณอาจไม่คาดคิด Credit: John Lamb/Getty Images
รวมถึงบัญชีโซเชียลมีเดียซึ่งอาจมีรูปถ่ายและข้อมูลของครอบครัวคุณ
“เราได้ยินถึงกรณีที่สแกมเมอร์ใช้รูปจากโซเชียลมีเดียหรือข้อมูลอื่นๆ ที่สามารถนำมาสร้างเป็นโปรไฟล์ปลอมได้ ดังนั้นสิ่งที่จะสื่อคือควรระมัดระวังในการแชร์ข้อมูลส่วนตัว”
แล้วอาชญากรไซเบอร์สามารถทำอะไรกับข้อมูลที่มีได้บ้าง?
ดร. โลว์กล่าวว่าขึ้นอยู่กับคุณภาพและปริมาณของข้อมูลส่วนบุคคลที่สแกมเมอร์รวบรวมได้
พวกเขาอาจเข้าบัญชีธนาคารของคุณและถอนเงินออกทั้งหมด
"พวกเขาอาจเปิดบัญชีธนาคารใหม่ในชื่อของคุณ หรือขอกู้เงินหรือขอสินเชื่อ พวกเขาอาจเปิดใช้โทรศัพท์เครื่องใหม่หรือเซ็นสัญญาต่างๆ อาจพยายามซื้อของหรูหราในชื่อคุณ ใช้ชื่อคุณเพื่อขอรับบริการออนไลน์ของรัฐบาล เข้าอีเมลของคุณเพื่อให้ได้ข้อมูลมากยิ่งขึ้น พวกเขาอาจใช้บัญชีโซเชียลมีเดียของคุณและปลอมตัวเป็นคุณ หรือใช้ตัวตนของคุณเพื่อหลอกลวงเหยื่อรายใหม่”
พึงระวังการโพสต์ข้อมูลส่วนบุคคลบนโซเชียลมีเดีย Source: AP / Eraldo Peres/AP
อย่าเปิดข้อความหรืออีเมลที่น่าสงสัย อย่าคลิกลิงค์ในอีเมลพวกนั้น ลบอีเมลหรือข้อความนั้นออก
"หากคุณได้รับการติดต่อจากองค์กรและหากคุณสงสัยว่าจริงหรือไม่ อย่าติดต่อกลับโดยใช้รายละเอียดจากข้อความหรืออีเมลที่ได้รับตรวจสอบรายละเอียดติดต่อขององค์กรนั้นเสียก่อน”
คุณซาราห์ คาวานาห์ (Sarah Cavanagh) ผู้จัดการฝ่ายการเข้าถึงชุมชน (Community Outreach) ที่ไอดีแคร์ (IDCare) บริษัทให้การสนับสนุนด้านอัตลักษณ์และไซเบอร์ระดับชาติของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ แนะนำให้ระวังการโทรสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล
“ใช้ความระมัดระวังเมื่อคุณต้องให้ข้อมูลส่วนบุคคลของคุณเสมอ โดยเฉพาะหากมีข้อมูลประจำตัวของคุณ เช่น ใบขับขี่ พาสปอร์ต เมดิแคร์ หรือรายละเอียดการล็อกอิน (login) ระบบธนาคาร คุณต้องแน่ใจว่าคุณสามารถยืนยันได้ว่าคนที่คุณคุยด้วยเป็นคนที่เขาบอกว่าเป็นจริงๆ”
เปิดการยืนยันตัวตนได้หลายช่องทางกับบัญชีธนาคาร อีเมล และบัญชีโซเชียลมีเดียของคุณ Source: Moment RF / Oscar Wong/Getty Images
สิ่งสำคัญคือควรมีรหัสผ่าน (password) บัญชีออนไลน์ที่รัดกุมและไม่ซ้ำกัน
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีรหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกันและเข้าถึงยากกับทุกบัญชีของคุณ
"อย่าใช้รหัสผ่านเดียวกันหลายครั้ง ตั้งค่าการยืนยันตัวตนได้หลายช่องทาง (multi-factor authentication) กับทุกบัญชีหากทำได้ รวมถึงบัญชีการเงิน บัญชีโซเชียลมีเดียและอีเมลของคุณ”
เหยื่อการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัว
แล้วคุณจะทราบได้อย่างไรว่าคุณถูกขโมยตัวตน?
คุณคาวานาห์กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือควรระมัดระวังตัวและมองหาสัญญาณบ่งชี้ว่าข้อมูลประจำตัวของคุณถูกนำไปใช้
“จดหมายไม่ส่งมาเหมือนเคย มีรายการปรากฎบนใบแจ้งยอดธนาคารหรือยอดบัตรเครดิตที่ไม่ได้ใช้หรือระบุไม่ได้ หลายคนอาจเริ่มได้รับบิล ใบแจ้งหนี้ หรือใบเสร็จค่าบริการหรือสินค้าที่ไม่ได้เป็นผู้ใช้ หรือหากกำลังดำเนินการขอสินเชื่อแล้วถูกปฏิเสธเนื่องจากมีเครดิตไม่ดี”
อาชญากรไซเบอร์สามารถเจาะผ่านรหัสผ่านที่ไม่รัดกุมได้ ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ที่สามารถเดารหัสผ่านได้นับหลายพันล้านครั้งต่อ 1 วินาที Credit: Peter Dazeley/Getty Images
สิ่งสำคัญคือควรติดต่อองค์กรที่เกี่ยวข้องทันทีและตรวจสอบรายละเอียดบัญชีออนไลน์ของคุณ
“เข้าบัญชีและรีเซ็ต (reset) รหัสผ่านและพิน (pin) ในบัญชีทั้งหมดของคุณ เปิดการยืนยันตัวตนแบบหลายช่องทาง และตรวจสอบรายละเอียดการติดต่อของคุณในบัญชีเหล่านั้น”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เผยกลลวงสแกมเมอร์ที่ใช้ Uber, ATO, Telstra มาอ้างเพื่อหลอกเหยื่อ
การโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้ว่าจะสร้างมาตรการป้องกันไว้แล้วก็ตาม
ด็อกเตอร์แอนดรูว์ แกรนท์ (Andrew Grant) อาจารย์สอนด้านวินัยการเงินที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์ (Discipline of Finance at Sydney University) ซึ่งเคยตกเป็นเหยื่อของการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลขณะที่อยู่ต่างประเทศ
ขณะนั้นด็อกเตอร์แกรนท์อยู่ที่สหรัฐอเมริกา เขาดื่มเหล้าเมามายและมือถือของเขาตั้งให้สามารถปลดล็อกได้ด้วยวิธีการจดจำใบหน้า (facial recognition)
“มือถือของผมปลดล็อกได้แบบใช้วิธีจดจำใบหน้า เมื่อคุณดื่มจนเมามาย มันค่อนข้างง่ายที่พวกเขาจะเข้าโทรศัพท์ของคุณ และเมื่อพวกเขาสามารถเข้าโทรศัพท์ของคุณได้ พวกเขาสามารถใช้แอปธนาคารของคุณได้ สามารถหาข้อมูลส่วนตัวของคุณผ่านอีเมลของคุณ”
คะแนนเครดิตต่ำอาจมีผลเสียต่อการขอกู้เงิน การได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ดี หรือการเพิ่มวงเงินบัตรเครดิต Source: AP / John Raoux/AP
“สแกมเมอร์ช่ำชองมากขึ้น เราขอให้จำคีย์เวิร์ด (key words) 3 คำ"
หยุด คิด ป้องกัน
"หยุดและคิดว่าฉันรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครจริงๆ หรือไม่ และป้องกัน หากคุณกังวลว่าคุณอาจเป็นเหยื่อของสแกมเมอร์ ติดต่อไอดีแคร์ และธนาคารของคุณ รายงานเรื่องของคุณไปยังสแกมวอช”
แหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์
- รายงานการโจรกรรมข้อมูลหรือถูกสแกมเมอร์หลอกได้ที่ หรือผ่านเว็บไซต์
- หากคุณสงสัยว่าถูกโจรกรรมข้อมูล ติดต่อ หรือโทร 1800 595 160 (Aus) หรือเบอร์ 0800 121 068 (NZ).
- อัปเดตข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการโจรกรรมข้อมูลและการหลอกลวงได้ที่
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
สิ่งที่ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนทิ้งแล็ปท็อปเครื่องเก่า
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เมื่อการตรวจสอบบ้านเช่าไม่ใช่แค่จัดห้อง มาเช็คกันว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง?