“การทำงานที่ยืดหยุ่น” แนวโน้มรูปแบบการทำงานในอนาคตของออสเตรเลีย

Woman at standing desk home office talking on business video call

พนักงานสตรีทำงานจากที่บ้าน โดยมีโต๊ะทำงานที่สามารถยืนได้ และมีลู่วิ่งไฟฟ้าใต้โต๊ะ Credit: martin-dm/Getty Images

จากรายงานล่าสุด ชี้ให้เห็นว่าชาวออสเตรเลียให้ความสำคัญกับบริษัทหรือนายจ้างที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน เพื่อที่จะสามารถเติมเต็มกับชีวิตด้านอื่นๆ โดยไม่เสี่ยงต่อภาวะหมดไฟในการทำงานก่อนเวลาอันควร


กด ▶ ฟังพอดคาสต์ด้านบน


ปัจจุบันนี้ ผู้คนมีการจัดลำดับความสำคัญในการทำงานแตกต่างไปมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนโควิด พนักงานคนหนึ่ง เปิดเผยความเห็นต่อเรื่องนี้ กับเอสบีเอสนิวส์ ว่า

"ผู้คนต้องการความยืดหยุ่นในการทำงานจากที่บ้าน เพื่อให้สามารถมีชั่วโมงการทำงานที่สั้นลง เพื่อไปรับ-ส่งลูกจากโรงเรียน เรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด"

รายงานล่าสุดจากสำนักงานความเท่าเทียมทางเพศในสถานที่ทำงาน และศูนย์เศรษฐศาสตร์ Bankwest Curtin เปิดเผยแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงเหล่านี้ว่า

จากผลการวิจัยพบว่าชาวออสเตรเลียไม่อยากทำงานแบบพาร์ทไทม์อีกต่อไป เพราะว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการทำงานที่มียืดหยุ่นเป็นหลัก

ผู้อำนวยการของ BCEC ศาสตราจารย์อลัน ดันแคน และเป็นหนึ่งในผู้เขียนงานวิจัยนี้ อธิบายว่า

"ปัจจุบันในตลาดแรงงานออสเตรเลีย มีพนักงานน้อยกว่าร้อยละ 30 เปอร์เซ็นต์ที่ทำงานพาร์ทไทม์ โดยที่มีสถิติคนทำงานเต็มเวลามากขึ้น และในขณะเดียวกันเราก็เห็นอัตราการเปลี่ยนแปลงของงานเต็มเวลาที่มีความยิดหยุ่นมากขึ้น เมื่อนำทั้งสองปัจจัยมารวมกัน จะเห็นว่าคนต้องการทำงานเต็มเวลาที่มียืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่เคยเป็นสัดส่วนหลัก ถึง 3 ใน 4 ของการทำงานประเภทพาร์มไทม์ในออสเตรเลีย"

ทำงานประเภทพาร์มไทม์และฟูลไทม์

ออสเตรเลียมีอัตราคนงานพาร์ทไทม์สูงที่สุดแห่งหนึ่งในบรรดาหรือ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา แต่สัดส่วนของผู้หญิงที่ทำงานพาร์ทไทม์ ลดลงร้อยละ 3.2 ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา

ในเวลาเดียวกัน ตำแหน่งงานเต็มเวลาที่เอื้อให้มีการทำงานที่ยืดหยุ่นได้เพิ่มขึ้น 2.3 เปอร์เซ็นต์ภายในช่วงเวลาเดียวกัน  ดร.ซิลเวีย ซาลาซาร์ ผู้ร่วมเขียนรายงาน อธิบายเหตุผลเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวว่า

"ลักษณะการทำงานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ในหลายๆ บริษัท ทำให้ผู้คนจำนวนมากมีเวลาทำงานที่เต็มเวลามากขึ้น และยังสามารถมีเวลาดูแลลูกของพวกเขาได้ด้วย เปรียบเทียบกับเมื่อก่อนที่คุณต้องทำงานพาร์ทไทม์เพื่อที่จะสามารถดูุแลลูกได้ แต่ตอนนี้ด้วยลักษณะงานที่มีคสามยืดหยุ่นมากขึ้น คุณสามารถทำหน้าที่ทั้งสองไปด้วยกันได้ "


อย่างไรก็ตาม ตัวเลขของผู้หญิงที่ทำงานงานพาร์ทไทม์ที่ยังสูงอยู่มาก สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศที่ยังคงมีอยู่ ศาสตราจารย์ดันแคนให้ความเห้นในเรื่องนี้ว่า

 "โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่เป็นแม่ที่มีลูกในช่วงวัยเรียน ทำให้ผู้หญิงต้องทำงานพาร์ทไทม์เพื่อดูแลบุตร และอาจจะทำเรื่องไปจนกระทั่งเกษียณ เพราะฉนั้นคิดว่า สังคมยังคงมีบรรทัดฐานในด้านการดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุ ซึ่งความรับผิดชอบดังกล่าวตกเป็นภาระของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย"

รูปแบบการทำงานในอนาคต

เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยที่กล่าวมา ทำให้ลักษณะงานในอนาคตอาจมีความเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน นายจ้างก็มีแนวโน้มที่ให้ความสำคัยกับชีวิตประจำวันของพนักงานมากขึ้น พนักงงานคนหนึ่งในออสเตรเลีย เปิดเผยว่า

ถ้าคุณเป็นนายจ้างที่ไม่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน คุณจะพลาดโอกาสดึงดูดพนักงานที่เก่งๆ เพราะพวกเขาอาจจะอยู่ไม่นานแล้วก็ออกไปทำงานที่อื่นที่มีความยืดหยุ่นกับชีวิต ดังนั้นนายจ้างเองต้องเริ่มปรับตัวให้เข้ากับกระแสความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
พนักงานคนหนึ่งให้ความเห็นกับเอสบีเอสนิวส์

ดร.ซัลลาซาร์กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากลักษณะการทำงานที่มีความเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมา ดร.ซัลลาซาร์ ชี้ว่า

นายจ้างจะต้องมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป


"ถ้าคุณต้องการรักษาพนักงานที่มีความสามารถเหล่านั้นไว้ คุณจะต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในแง่ของวิธีการทำงาน การทำงานจากบ้านเป็นลักษณะการทำงานที่ยังจะดำเนินต่อไป อาจจะไม่ใช่ทำงานจากที่บ้านทั้งหมด แต่อาจจะเป็นรูปแบบของการทำงานจากที่บ้านและเข้ามาทำในออฟฟิศในบางวัน มีความยืดหยุ่นในเวลาเริ่มและเลิกงานมากขึ้น ผลงานอาจจะสำคัญมากกว่าเวลาทำงาน "

ศาสตราจารย์ดันแคน กล่าวว่าบริษัทต่างๆ จำเป็นต้องให้แน่ใจว่าพนักงานที่เลือกให้ความสำคัญกับสุขสภาวะส่วนบุคคลจะไม่เผชิญกับอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน

"มันเป็นเรื่องสำคัญ ที่เราต้องแน่ใจว่าบริษัทต่างๆ จะไม่ปิดกั้นโอกาสความก้าวหน้าด้านอาชีพการงาน หากลูกจ้างต้องการทำงานแบบยืดหยุ่น บริษัทต่างๆ ต้องมีกระบวนการจัดการทำงานแบบยืดหยุ่นที่เป็นมาตรฐานและสร้างความมั่นใจกับลูกจ้างโดยทีมพนักงานระดับสูงต้องทำเป็นตัวอย่าง ทีมผู้บริหารและหน่วยงานด้านทรัพยากรมนุษย์ต้องมีการลงทุนเพื่อสร้างเสริมและมีกระบวนการการจัดการระบบการทำงานแบบใหม่ หากการทำงานในรูปแบบดังกล่าวกลายเป็นสิ่งปกติ เราก็จะสามารถสร้างโมเดลการทำงานแบบยืดหยุ่นที่ดีภายในองค์กรได้"


 คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ 


บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่ 




 


Share