ธุรกิจต่างๆ ทั่วออสเตรเลียจะต้องรับเงินสดจากลูกค้าเพื่อซื้อของจำเป็น เพื่อให้การสนับสนุนลูกค้าที่ต้องการใช้วิธีการชำระเงินแบบเดิมที่ได้รับความนิยมลดลงเรื่อยๆ
ในขณะที่ผู้คนหันมาใช้ช่องทางการชำระเงินแบบดิจิทัลกันมากขึ้น แต่การใช้จ่ายด้วยเงินสดก็ยังมี "ช่องทาง" ให้ไปต่อ จิม ชาลเมอร์ส รัฐมนตรีคลังแห่งสหพันธรัฐกล่าว
“สำหรับชาวออสเตรเลียหลายๆ คน เงินสดเป็นมากกว่าช่องทางการชำระเงิน แต่เป็นเส้นเลือดใหญ่” เขากล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์
เชื่อกันว่าชาวออสเตรเลียราว 1.5 ล้านคนใช้เงินสดในการชำระเงินโดยตรงมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์
ธุรกิจต่างๆ จะต้องยอมรับเงินสดเมื่อขายสินค้าจำเป็น เช่น ของชำและเชื้อเพลิง โดยมี "ข้อยกเว้นที่เหมาะสม" สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลเตรียมออกมาตรการแบนการเก็บค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตภายในปี 2026
ตามข้อมูลของธนาคารกลางออสเตรเลีย ธุรกิจประมาณ 94 เปอร์เซ็นต์ยังคงรับเงินสด
ในแถลงการณ์ รัฐบาลระบุว่า ในขณะที่ผู้คนใช้ช่องทางการชำระเงินแบบดิจิทัลมากขึ้น เงินสดก็เป็นทางเลือกสำรองที่เข้าถึงได้ง่ายในช่วงที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและเหตุขัดข้องทางออนไลน์
กระทรวงการคลังจะเริ่มปรึกษาหารือก่อนสิ้นปีนี้ว่าธุรกิจที่จัดหาสินค้าและบริการที่จำเป็นควรได้รับความคุ้มครองตามคำสั่งหรือไม่
การปรึกษาหารือจะพิจารณาถึงความต้องการของผู้ที่พึ่งพาเงินสด รวมถึงผู้คนในพื้นที่ภูมิภาคและผู้ที่ไม่สามารถใช้การชำระเงินแบบดิจิทัลได้ รวมถึงผลกระทบต่อธุรกิจขนาดเล็ก
Treasurer Jim Chalmers says there are many Australians for whom "cash is more than a payment method — it's a lifeline". Source: AAP / Joel Carrett
รายละเอียดสุดท้ายของคำสั่งดังกล่าวจะประกาศให้ทราบในปี 2025 ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2026
นอกจากนี้ยังการดำเนินการเพื่อยุติการใช้เช็คโดยจะเริ่มต้นภายใต้แผนการเปลี่ยนผ่านการใช้เช็ค โดยให้ลูกค้าและธุรกิจต่างๆ ปรับตัวให้เข้ากับวิธีการชำระเงินแบบอื่นได้จนถึงปี 2029
ภายใต้แผนการดังกล่าว จะมีการหยุดออกเช็คภายในเดือนมิถุนายน 2028 และจะหยุดรับเช็คภายในเดือนกันยายน 2029
การใช้เช็คลดลงร้อยละ 90 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งกำลังยุติการออกเช็คสำหรับลูกค้ารายใหม่