ระบบการย้ายถิ่นฐานของออสเตรเลียได้ถูกกำหนดให้เปลี่ยนแปลงยกเครื่อง หลังการเผยแพร่ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่เตือนว่าระบบดังกล่าว “ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์” และเต็มไปด้วยช่องโหว่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบผู้ถือวีซ่าชั่วคราว
แคลร์ โอนีล (Clare O’Neil) รัฐมนตรีกิจการภายในของออสเตรเลีย ได้แถลงแนวทางจากรัฐบาลออกมาสองประเด็น ขณะที่ผู้สมัครวีซ่าออสเตรเลียต่างรอคอยรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วยความหวัง ในการแถลงร่างงบประมาณแผ่นดินของรัฐบาลสหพันธรัฐที่จะมีขึ้นในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้
การเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างที่ประกาศแล้วในปีงบประมาณ 2023-24
การเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างที่ประกาศแล้วในปีงบประมาณ 2023-24
การเปลี่ยนแปลงของวีซ่านักเรียน
เมื่อช่วงที่มีสถานการณ์โควิด-19 ได้มีการผ่อนคลายข้อจำกัดการทำงานของวีซ่านักเรียน ในความพยายามเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนคนทำงาน ซึ่งต่อมาได้ยกเลิกไปเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้สมัครหลักและผู้สมัครรองสามารถทำงานเกินกว่าข้อกำหนดปกติที่ไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสองสัปดาห์ได้
แต่ในวันที่ 1 ก.ค.นี้เป็นต้นไป ข้อจำกัดการทำงานของวีซ่านักเรียนจะถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง โดยรอบนี้กำหนดชั่วโมงทำงานสูงสุดเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อยเป็นไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสองสัปดาห์
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
นักศึกษาโหมทำงานหารายได้ก่อนกฎจำกัดชั่วโมงทำงานจะกลับมา
นอกจากนี้ ผู้ถือวีซ่าชั่วคราวสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาบางส่วน (Subclass 485) จะอาศัยอยู่ในออสเตรเลียได้นานขึ้น
- ผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี จะอาศัยอยู่ได้นานขึ้นจาก 2 ปี เป็น 4 ปี
- ผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโท จะอาศัยอยู่ได้นานขึ้นจาก 3 ปี เป็น 5 ปี
- ผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก จะอาศัยอยู่ได้นานขึ้นจาก 4 ปี เป็น 6 ปี
การเปลี่ยนแปลงวีซ่าเวิร์กแอนด์ฮอลิเดย์
การผ่อนปรนให้คนทำงานเวิร์คแอนด์ฮอลิเดย์ (WHM) ทำงานกับนายจ้างหรือองค์กรเดียวกันได้นานกว่า 6 เดือนโดยไม่ต้องขออนุญาตที่ได้ประกาศเมื่อเดือนมกราคม 2565 เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานระหว่างการแพร่ระบาดใหญ่ ก็จะสิ้นสุดลงในวันที่ 1 ก.ค.นี้
ทั้งนี้ งานใด ๆ ที่ดำเนินการก่อนวันที่ 1 ก.ค. จะไม่นับรวมในข้อจำกัด 6 เดือน ซึ่งหมายความว่าคนทำงานเวิร์กแอนด์ฮอลิเดย์สามารถทำงานให้กับนายจ้างคนใดก็ได้นานถึง 6 เดือน แม้งานนั้นจะเริ่มก่อนวันที่ 1 ก.ค.ก็ตาม
มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกที่กำลังจะมาถึง
ซึ่งนำโดย มาร์ติน พาร์กินสัน (Martin Parkinson) อดีตหัวหน้าหน่วยงานบริการสาธารณะ พบว่า แม้ว่าบางแง่มุมจะดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ประเด็นสำคัญกลับ “พัง”
นอกจากนี้ การพิจารณาดังกล่าวได้แนะนำ “ทิศทางการปฏิรูป 38 ข้อ” เพื่อให้รัฐบาลพิจารณา ขณะที่ แคลร์ โอนีล รัฐมนตรีกิจการภายในของออสเตรเลีย ได้แถลงนโยบายของรัฐบาลออกมา 2 ประเด็น ดังนี้
ผู้ย้ายถิ่นจะต้องมีรายได้มากขึ้น
ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้ เกณฑ์รายได้ขั้นต่ำที่ผู้สมัครวีซ่าต้องมีเพื่อให้ได้รับสปอนเซอร์จากนายจ้างจะเพิ่มขึ้น
โดยเกณฑ์รายได้สำหรับวีซ่าทักษะชั่วคราว (TSMIT) ไม่ได้รับการปรับขึ้นนับตั้งแต่ถูกหยุดไว้ที่ 53,000 ดอลลาร์เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้เกณฑ์รายได้ขั้นต่ำเพิ่มขึ้นมาเป็น 70,000 ดอลลาร์ นับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป
“นี่เป็นการเพิ่ม TSMIT ครั้งแรกในรอบทศวรรษ มันเป็นเงินดาวน์สำหรับรูปแบบการย้ายถิ่นฐานที่รัฐบาลอัลบานีซีต้องการจะสร้างขึ้น” แคลร์ โอนีล รัฐมนตรีกิจการภายในออสเตรเลีย กล่าวผ่านแถลงการณ์ในวันที่มีการเผยรายงานพิจารณาระบบย้ายถิ่นฐาน
แรงงานมีทักษะจะมีหนทางสู่การได้เป็นพีอาร์
รัฐบาลกล่าวว่า จะเปิดโอกาสให้ลูกจ้างชั่วคราวมีทักษะทุกคนมีโอกาสสมัครเป็นผู้อาศัยถาวรได้ภายในสิ้นปีนี้
แคลร์ โอนีล รัฐมนตรีกิจการภายในของออสเตรเลีย Source: AAP / Lukas Coch
“ผมคิดว่า การเปิดเส้นทางสู่การได้เป็นผู้อาศัยถาวรสำหรับผู้ที่ย้ายเข้ามาชั่วคราวที่มีทักษะนั้นเป็นก้าวที่ดี” คุณริซวี กล่าว
เมื่อถูกถามถึงในเรื่องการปรับเกณฑ์รายได้ TSMIT คุณริซวีกล่าวว่า การคงรายได้ขั้นต่ำไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.2013 เป็น “การตัดสินใจที่ผิดพลาด” ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์เชิงลบต่อผู้ย้ายถิ่นฐานและชาวออสเตรเลีย
เขากล่าวอีกว่า การพิจารณาระบบย้ายถิ่นฐานนั้น “พยายามที่จะทำให้ระบบมีเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น และผมคิดว่าทั้งสองสิ่งนี้มีเพียงแต่จะดีขึ้น”
“ผมคิดว่ามันเน้นย้ำถึงบทบาทของการย้ายถิ่นฐานในอนาคตของออสเตรเลีย และนั่นก็เป็นประโยชน์เช่นกัน”
อะไรอีกที่การพิจารณาระบบย้ายถิ่นฐานแนะนำ
การพิจารณาพบว่า โครงการย้ายถิ่นฐานของออสเตรเลียไม่สามารถดึงดูดผู้ย้ายถิ่นที่มีทักษะสูงที่สุดเอาไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงคนทำงานเหล่านี้ได้ ในขณะเดียวกัน พบ “หลักฐานที่ชัดเจน” ของการเอารัดเอาเปรียบอย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ รายงานการพิจารณาระบุอีกว่า ลักษณะของวีซ่าออสเตรเลีย “ได้ทำให้กลุ่มผู้ย้ายถิ่นกลายเป็นผู้อาศัยอยู่ชั่วคราวตลอดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ”
อัตราย้ายถิ่นฐานสุทธิจากต่างประเทศของออสเตรเลีย ได้รับการคาดการณ์ว่าจะถึง 400,000 คน ในปีงบประมาณ 2023-24 Source: AAP
รีเบคกา แมคมิลลัน (Rebecca MacMillan) นักกฎหมายด้านการย้ายถิ่นฐาน บริษัทกฎหมาย Holding Redlich ต้อนรับการพิจารณาและการปฏิรูป โดยกล่าวว่า “สมเหตุสมผลในวงกว้าง” แต่ก็เตือนว่าหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล
“มันยากที่จะรู้ว่าทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเร็วแค่ไหน” คุณแมคมิลลัน กล่าว
“คำแนะนำต่างๆ จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าจะได้รับการประกาศใช้อย่างไร”
ยังข้อเสนอบางส่วนที่ระบุไว้ในยุทธศาสตร์ระบบย้ายถิ่นฐานของรัฐบาล ได้แก่ การสร้างเส้นทางกระแสหลักสำหรับแรงงานทักษะชั่วคราว โดยกำหนดทักษะที่จำเป็นด้วยแนวทางที่ได้รับการปรับปรุง “กำจัดอาชีพที่ล้าสมัยและไม่ยืดหยุ่น" จัดทำเส้นทางที่รวดเร็วและเรียบง่ายสำหรับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีทักษะสูง และขยายโครงการให้ครอบคลุมทุกระดับทักษะ
ทั้งนี้ รัฐบาลจะดำเนินการปรึกษาหารือในเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนมิถุนายน โดยมีแผนจะเผยแพร่ยุทธศาสตร์การย้ายถิ่นฐานในขั้นสุดท้ายปลายปีนี้
ออสเตรเลียกำลังต้อนรับผู้อพยพมากขึ้นหรือไม่
ตัวเลขอย่างเป็นทางการที่ เอสบีเอส นิวส์ ได้รับมาเมื่อสัปดาห์ก่อนแสดงให้เห็นว่า อัตราการย้ายถิ่นฐานจากต่างประเทศสุทธิของออสเตรเลีย (NOM) คาดว่าจะแตะ 400,000 คนในปีการเงินนี้ และจะอยู่ที่ 315,000 คน ในปีงบประมาณ 2023-24
ทั้งนี้ อัตราการย้ายถิ่นฐานจากต่างประเทศสุทธิ (NOM) คือความแตกต่างระหว่างจำนวนผู้ย้ายถิ่นที่เดินทางเข้าและออกประเทศ โดยรวมถึงพลเมืองถาวรและพลเมืองชั่วคราว
หลังจากที่การแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลให้ผู้เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศต้องหยุดกะทันหัน โดยก่อนหน้านี้ เอกสารงบประมาณแผนดินของรัฐบาลสหพันธรัฐประจำเดือนตุลาคมได้ชี้ว่า อัตราการย้ายถิ่นฐานจากต่างประเทศสุทธิ (NOM) ของออสเตรเลียจะฟื้นตัวขึ้นมาเพียง 235,000 ในปีการเงินนี้และปีถัดไป
ขณะที่การคาดการณ์ล่าสุดแสดงให้เห็นถึงการเร่งตัวภายใน 2 ปี ซึ่งสูงกว่าการประมาณการในเบื้องต้นก่อนถึงช่วงทรงตัว
รัฐมนตรีกิจการภายในของออสเตรเลีย ยืนยันว่า ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล “ไม่ได้เกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนคนให้มากขึ้น” ขณะที่รองผู้นำพรรคลิเบอร์รัล ซูซาน เลย์ (Sussan Ley) กล่าวหาว่า รัฐบาลพรรคแรงงานกำลังดำเนินนโยบาย “บิ๊ก ออสเตรเลีย” หรือนโยบายรับผู้อพยพยย้ายถิ่นเพื่อเพิ่มประชากรในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรี เควิน รัดด์ (Kevin Rudd)
คุณริซวีกล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของอัตราการย้ายถิ่นฐานสุทธิได้รับแรงหนุนจากสองปัจจัย ได้แก่ ลักษณะของชุดนโยบายการย้ายถิ่นที่เกี่ยวข้องกับยุคโควิด และ “ตลาดแรงงานที่ร้อนแรง”
“เมื่อนำสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน มันแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่การย้ายถิ่นฐานสุทธิจะเพิ่มขึ้น” คุณริซวี กล่าว
เขากล่าวว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากมีการดำเนินการหลายขั้นตอนเพื่อทำให้ระบบรัดกุมขึ้น และรูปแบบนโยบายต่าง ๆ ในช่วงโควิดก็กำลังถอยกลับ
บทความนี้จะได้รับการปรับปรุงให้เป็นปัจจุบัน หลังการเปิดเผยร่างงบประมาณแผ่นดินของรัฐบาลสหพันธรัฐในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้
เอสบีเอส ไม่สามารถให้คำแนะนำในการย้ายถิ่นฐานได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวีซ่า โปรดไปที่เว็บไซต์
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องราวที่น่าสนใจ จาก เอสบีเอส ไทย
ขยับแล้วขยับอีก แบงก์ชาติออสฯ ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 3.85%