ออสเตรเลียสัญญาที่ไทยจะช่วยเหลือแปดสิบล้านดอลลาร์แก้ค้ามนุษย์

NEWS: ออสเตรเลียกล่าวว่าจะร่วมออกเงินจำนวน $80 ล้านดอลลาร์เพื่อแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Image of Marise Paynes with other ASEAN ministers in Bangkok

Source: AAP

You can read the full version of this story in English on SBS News .

ออสเตรเลียให้สัญญาต่อเงินจำนวน $80 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ($55 ดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อต่อสู้กับการค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยให้คำมั่นที่จะแก้ไขปัญหา “ทาสยุคใหม่” ที่เป็นกับดักผู้คนซึ่งมีความเปราะบางในภูมิภาค ตั้งแต่ลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างต่ำ เจ้าสาวอายุน้อย และผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา

รัฐมนตรีกิจการต่างประเทศของออสเตรเลีย นางมารีส เพย์น กล่าวในการประชุมอาเซียน (ASEAN, Association of Southeast Asian Nations) ที่กรุงเทพมหานคร ว่าเงินก้อนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการระยะเวลา 10 ปีอันจะรวมไปถึงการอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้พิพากษา เพื่อเจาะลึกเข้าไปถึงเครือข่ายของอาชญากร
Australia's Foreign Minister Marise Payne greets Vietnam's Foreign Minister Pham Binh Minh and Thailand's Minister of Foreign Affairs Don Pramudwinai.
Australia's Foreign Minister Marise Payne greets Vietnam's Foreign Minister Pham Binh Minh and Thailand's Minister of Foreign Affairs Don Pramudwinai. Source: AAP
เธอกล่าวว่า “แนวคิดริเริ่มดังกล่าวยังจะช่วยสนับสนุนการสืบสวนสอบสวนร่วมกันระดับนานาชาติเพื่อนำตัวผู้ตกเป็นเหยื่อออกมา และพยายามเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ค้ามนุษย์นั้นถูกตั้งข้อหา”

ความต้องการแรงงานราคาถูกที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมประมงและก่อสร้าง ได้กระตุ้นให้เกิดเครือข่ายการค้ามนุษย์ขึ้นทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อันมีพรมแดนที่ทะลุถึงกันซึ่งทำให้การเคลื่อนย้ายของผู้คนเป็นไปได้โดยสะดวก

ความต้องการเจ้าสาวชาวภูมิภาคริมแม่น้ำโขงโดยประเทศจีนได้เร่งให้เกิดการค้าหญิงอายุน้อยอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งก็เกี่ยวเนื่องไปถึงนโยบายที่ยาวนานหลายทศวรรษเรื่องการให้มีบุตรชคนเดียวของจีนและความต้องการที่จะมีบุตรชายมากกว่า

นางเพย์นกล่าวเสริมว่า “มีปัจจัยที่ฝังรากลึกหลายปัจจัย ที่เอื้อต่ออาชญากรรมข้ามชาติ ตั้งแต่การทุจริตไปจนถึงสถานภาพของเด็กๆ และกลุ่มคนซึ่งเปราะบางอื่นๆ ผู้ขาดความเท่าเทียม”

การจองล้างจองผลาญชาวมุสลิมโรฮิงญาในแคว้นยะไข่ของเมียนมาร์ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ก็ยังก่อให้เกิดเครือข่ายใหม่ๆ ที่เป็นอันตรายเพิ่มมากขึ้น

มีชาวมุสลิมโรฮิงญาไร้สัญชาติจำนวนประมาณ 740,000 คนที่หลบหนีไปยังประเทศบังกลาเทศ หลังเกิดการจู่โจมโดยทหารเมื่อปี ค.ศ. 2017 ทว่าอีกจำนวนมากก็อยู่อาศัยในค่ายผู้ลี้ภัยอันทุรกันดาร โดยหวังจะเดินทางไปยังประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียเพื่อหางานทำ แต่ในประเทศเหล่านั้นพวกเขาก็เสี่ยงต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบ

เมื่อปี ค.ศ. 2015 ได้มีการเปิดโปงการค้ามนุษย์ซึ่งซับซ้อนและมีผลประโยชน์ดึงดูดใจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อประเทศไทยได้ยับยั้งเส้นทางค้ามนุษย์ชาวมุสลิมโรฮิงญาออกจากประเทศเมียนมาร์ ซึ่งมีผลประโยชน์นับล้านดอลลาร์

เมื่อมีการพบหลุมฝังศพผู้ย้ายถิ่นที่ภาคใต้ของประเทศไทย เส้นทางค้ามนุษย์ดังกล่าวจึงถูกค้นพบ
วิดิโอ: 20 มี.ค. ที่เมียนมาร์: ผู้หญิงและเด็กหญิงถูกขายเพื่อเป็น ‘เจ้าสาว’ที่ประเทศจีน

เมื่อวานนี้ (1 ส.ค.) นางเพย์นได้ชี้ไปถึงชะตากรรมของชาวโรฮิงญา

โดยเธอกล่าวว่า “เรารู้สึกวิตกกังวลต่อสถานการณ์ในรัฐยะไข่ เราผูกมัดที่จะทำงานร่วมกับเมียนมาร์ กับบังกลาเทศ กับกลุ่มประเทศอาเซียน และภาคีอื่นๆ เพื่อมุ่งสู่หนทางแก้ปัญหาระยะยาวที่ยั่งยืน”

นายจอห์น ควินลีย์ จากองค์กรฟอร์ติฟายไรตส์ (Fortify Rights) ซึ่งบันทึกการค้ามนุษย์ในภูมิภาคดังกล่าวไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ได้เรียกร้องต่อประเทศสมาชิกอาเซียนให้เพิ่มความร่วมมือกันเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิด

เขากล่าวว่า “การค้ามนุษย์เป็นอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งก็จำเป็นต้องมีหนทางแก้ไขข้ามชาติ”

หากอ้างอิงจากดัชนีทาสทั่วโลก (Global Slavery Index) คาดว่ามีคนจำนวน 25 ล้านคนที่ติดอยู่ในระบบทาสยุคใหม่ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี 2016

Share
Published 2 August 2019 9:58am
By AAP-SBS
Presented by Tanu Attajarusit
Source: AAP, SBS News


Share this with family and friends