รายการ เอสบีเอส ไทย ออนไลน์ ออกอากาศสดหนึ่งชั่วโมงเต็ม กดฟังได้ที่เว็บไซต์ ทุกจันทร์และพฤหัสบดี 22.00 น. (เวลาซิดนีย์/เมลเบิร์น) หลังจากนั้นฟังซ้ำได้ทุกเมื่อ
ประเทศออสเตรเลียมีความภาคภูมิใจในการเป็นจุดหมายปลายทางอันปลอดภัย และความรู้สึกว่าปลอดภัยก็เป็นข้อหนึ่งในการตัดสินใจของนักศีกษานานาชาติเมื่อเลือกที่จะมาเรียนที่นี่
ดังนั้น การจี้ปล้น และการทำร้ายร่างกายนักเรียนนานาชาติติดๆ กันหลายครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาในนครเมลเบิร์น จึงเป็นที่น่าวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่มีเสียงกล่าวหาจากสื่อต่างๆ ว่ามหาวิทยาลัยของออสเตรเลียนั้นปฏิบัติต่อนักเรียนนานาชาติราวกับว่าเป็น “ตู้กดเงิน”
แต่ก็ต้องยอมรับว่า การศึกษานานาชาตินั้นเป็นธุรกิจขนาดมหึมา ในปีการเงิน 2017-2018 มีนักเรียนนานาชาติกว่า 500,000 คนซึ่งอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนเกือบ $32 พันล้านดอลลาร์เข้าสู่เศรษฐกิจของออสเตรเลีย โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
รองเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุดขององค์กรยูนิเวอร์ซิตีส์ออสเตรเลีย (Universities Australia) นางแอนน์-มารี แลนส์ดาว์น กล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า การศึกษานานาชาติเป็นแหล่งรายได้จากการส่งออกที่มากเป็นอันดับสามของประเทศออสเตรเลีย
“ชาวออสเตรเลียควรจะภาคภูมิใจอย่างที่สุดต่ออุตสาหกรรมซึ่งสำคัญนี้ และควรจะปกป้องมันอย่างเต็มที่”
และนั่นก็หมายถึงการปกป้องเหล่าลูกค้า
เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
ผู้หญิงในออสเตรเลียรู้สึกไม่ปลอดภัยยามค่ำคืน
รัฐมนตรีสหพันธรัฐด้านการศึกษา นายแดน ทีฮาน ตอบโต้อย่างรวดเร็วต่อเหตุการณ์จู่โจมที่นครเมลเบิร์น เขากล่าวว่ารัฐบบาลกำลังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการการศึกษาเพื่อ “ทำให้แน่ใจว่าออสเตรเลียนั้นปลอดภัยและเป็นประเทศที่ต้อนรับนักเรียนนานาชาติ”
มีแนวปฏิบัติต่างๆ ด้านความปลอดภัยอยู่แล้วก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2018 ระเบียบปฏิบัติสำหรับผู้ให้การศึกษาและการอบรมแก่นักเรียนจากต่างประเทศจะบังคับให้สถานศึกษาให้ข้อมูลกับนักเรียนนานาชาติเรื่องความปลอดภัยในพื้นที่ของวิทยาเขตและในระหว่างที่อยู่ในประเทศออสเตรเลีย
ระเบียบปฏิบัติดังกล่าวยังระบุว่ามหาวิทยาลัยต่างๆ ควรมีพนักงานและระบบที่คอยให้ความช่วยเหลือนักเรียน โดยระบบต่างๆ นั้นรวมไปดึงด้านสุขภาพ การให้คำปรึกษา และการตอบสนองอย่างทันท่วงทีต่อเหตุการณ์วิกฤต เช่นการทำร้ายทางวาจาหรือทางจิตใจอย่างรุนแรง ความรุนแรงต่อร่างกายหรือความรุนแรงทางเพศ
โดยทั่วๆ ไป มหาวิทยาลัยต่างๆ ก็บริหารจัดการวิทยาเขตของพวกตนได้ดี โดยมีกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่ครอบคลุมพื้นที่ มีโทรศัพท์ฉุกเฉินตามจุดต่างๆ และมีบริการรักษาความปลอดภัยที่ออกตรวจตราสอดส่อง ทั้งยังมีบริการให้คำปรึกษาอยู่ในวิทยาเขตหากเกิดเหตุวิกฤติขึ้น
แต่การปกป้องนักศึกษานานาชาติในระหว่างการเดินทางไปและกลับจากมหาวิทยาลัยก็ยังคงเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวง ตลอดจนถึงการที่พวกเขาใช้ชีวิตประจำวันอยู่ในชุมชน
ความปลอดภัยนอกมหาวิทยาลัย
นักศึกษามหาวิทยาลัยมักตกเป็นเหยื่อเมื่อใช้บริการขนส่งสาธารณะ มีงานวิจัยที่นครเมลเบิร์นชิ้นหนึ่งซึ่งวิเคราะห์นักศึกษาทั้งหมด (ทั้งนักศึกษาท้องถิ่นและนานาชาติ) พบว่าเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาหญิงที่ร่วมทำสำรวจ เช่นเดียวกับผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTI+) ในสัดส่วนที่พอๆ กัน กล่าวว่าพวกเขาเคยตกเป็นเหยื่อของกิริยา หรือวาจาที่ส่อไปในทางเพศ ถูกเปิดเผยให้เห็นอวัยวะเพศ ถูกลูบคลำ หรือถูกติดตามเมื่อใช้บริการขนส่งสาธารณะ ในระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา ส่วนผู้ชายนั้นกว่าครึ่งหนึ่งก็รายงานว่าเคยถูกตกเป็นเหยื่อ
ฝ่ายผู้หญิงกล่าวว่า พวกเธอนั้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายๆ อย่าง ตั้งแต่การหลีกเลี่ยงเส้นทางบางสาย และหยุดให้มีคนมารับที่ป้ายหรือสถานี พวกเธอกล่าวว่าใช้วิธีตื่นตัวอยู่เสมอเพื่อลดความเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อ ผลการสำรวจยังออกมาน่าวิตกกังวลว่ามีเพียง 5.7 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตกเป็นเหยื่อ ที่รายงานต่อเจ้าหน้าที่การข่มขืนและฆาตกรรมนักศึกษานานาชาติวัย 21 ปี น.ส. ไอยา มาซาร์เว ในนครเมลเบิร์น ได้บ่งชี้ให้เห็นถึงอันตรายของการเดินทางเพียงคนเดียวในเวลากลางคืนและการใช้บริการขนส่งสาธารณะ น.ส. มาร์ซาเว เดินเท้าตัวคนเดียวในเวลากลางคืนหลังจากลงจากรถรางที่บริเวณใกล้กับมหาวิทยาลัยลาโทรบในย่านบันดูรา
Australian universities have CCTV cameras on campus Source: Shutterstock
งานวิจัยอีกงานในเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนนานาชาติระดับชุมชนที่นครเมลเบิร์นพบว่า นักเรียนนานาชาตินั้น มักจะรายงานว่า หากเกิดการคุกคามต่อความปลอดภัยของพวกเขา ก็มักจะมีองค์ประกอบด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง มากกว่าเมื่อเกิดขึ้นกับนักเรียนภายในประเทศ
ความรุนแรงนั้นอาจเป็นการฉวยโอกาส โดยมีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมเช่นการเดินทางในเวลากลางคืนและการใช้บริการขนส่งสาธารณะเป็นปัจจัยเสี่ยง
มหาวิทยาลัยสามารถทำอะไรได้บ้าง
โครงการสร้างความคุ้นเคยต่างๆ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และเป็นโอกาสที่จะให้ข้อมูลด้านความปลอดภัยกับนักเรียนนานาชาติ ซึ่งสามารถทำได้โดยผ่านวิดิโอ และการให้ตำรวจและผู้ให้บริการรายอื่นๆ มาพูดหน้าชั้น เช่นเดียวกันกับการมีแหล่งข้อมูลทางออนไลน์ที่สามารถเข้าใช้ได้ตลอด 24 ชม. โดยไม่มีวันหยุด
คำแนะนำด้านความปลอดภัยส่วนตัวของแต่ละบุคคลนั้นก็รวมไปถึงการไม่ทิ้งของมีค่าไว้ที่บ้านเมื่อออกมาข้างนอก และไม่ถือเงินสดติดตัวเป็นจำนวนมาก ให้จดจำหมายเลข 000 (ทริเปิลซีโร) ซึ่งเป็นหมายเลขฉุกเฉินแห่งชาติ ที่จะให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินและมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
แต่โครงการสร้างความคุ้นเคยต่างๆ (Orientation programs) ซึ่งจัดขึ้นสองถึงสามครั้งต่อปี ก็จะเป็นช่วงที่นักศึกษาได้รับข้อมูลในเรื่องต่างๆ มากมายไปพร้อมๆ กัน และเรื่องความปลอดภัยของแต่ละบุคคลนั้นก็เป็นเพียงแค่หัวข้อหนึ่งท่ามกลางหลายๆ หัวข้อ ที่ถูกอธิบายด้วยเวลาที่มีอยู่จำกัด โครงการสร้างความคุ้นเคยจึงยังไม่เพียงพอ
มหาวิทยาลัยยังสามารถรับมือกับปัญหาความปลอดภัยสาธารณะได้ด้วยมาตรการต่างๆ เช่น การจัดตารางเวลาอย่างสมเหตุสมผลเพื่อลดการเดินทางไปกลับวิทยาเขตในเวลากลางคืน การร่วมมือกับหน่วยงานด้านการขนส่งโดยตรงเพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนรถประจำทาง รถไฟ และสร้างความสัมพันธ์ในการทำงานร่วมกับตำรวจในท้องที่อย่างใกล้ชิด
กลยุทธต่างๆ เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการลงมือระดับนานาชาติที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเรียกว่าเฮลธียูนิเวอร์ซิตีส์ (Healthy Universities) ที่ส่งเสริมด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และสวัสดิภาพของพนักงานและนักเรียน
ที่มหาวิทยาลัยกริฟฟิธ มีการเปิดให้ทั้งพนักงานและนักเรียนเข้าเรียนศิลปะป้องกันตัว โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เซฟแคมปัสเซส อิทส์ออลออนอัส (Safe Campuses It’s All On US) โดยมุ่งเน้นไม่เพียงแต่จะป้องกันตนเอง แต่ให้เข้าใจว่าเมื่อไรและที่ไหนที่คุณอาจมีความเสี่ยง และจะพัฒนากลยุทธต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บได้อย่างไร
มหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งมีโครงการ เมทส์ (Mentoring and Transition Equals Success, MATES) หรือโครงการให้คำปรึกษาในลักษณะคล้ายคลึงกันให้กับนักเรียนใหม่ เพื่อช่วยให้พวกเขาได้รู้จักกับนักเรียนคนอื่นๆ และเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตที่มหาวิทยาลัย เครือข่ายนี้ก็อาจถูกนำมาใช้เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยของนักเรียนนานาชาติ หากว่าผู้ให้คำปรึกษานั้นได้รับการอบรมมาอย่างเหมาะสม มีทรัพยากรต่างๆ ที่คอยสนับสนุน และได้รับการส่งเสริมจากมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศออสเตรเลียได้มุ่งจัดการกับการคุกคามทางเพศและการระรานทางเพศโดยผ่านแนวคิดที่ชื่อว่า เรสเปกต์ นาว ออลเวส์ (Respect. Now. Always.) ซึ่งเป็นโครงการที่มีอยู่แต่เดิมอยู่แล้ว และครอบคลุมกว้างขวางในเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนนานาชาติ โดยมีการทำสัมนาเชิงปฏิบัติการและโครงการอบรมต่างๆ มีการประสานงานกับตำรวจ และการสนับสนุนให้เขียนรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แน่นอนว่า เรื่องดังกล่าวก็จำเป็นต้องอาศัยพนักงานที่ทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ และต้องมีทรัพยากรสนับสนุนมาจากสำนักงานนักเรียนนานานชาติ โครงการเหล่านี้จึงจะสามารถดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน
นโยบายและคำแนะนำทั่วๆ ไปเกี่ยวกับความปลอดภัยของนักเรียนนานาชาตินั้นมีอยู่อย่างเพียงพอมากมายอยู่แล้ว สิ่งที่เราต้องการก็คือโครงการต่างๆ ในระดับปฏิบัติการ โดยมีตำรวจและผู้มีส่วนร่วมอื่นๆ เป็นผู้นำการปฏิบัติโดนยึดหลักฐานจากงานวิจัยเป็นพื้นฐาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประเมินดูว่าแนวคิดริเริ่มต่างๆ ในโลกความเป็นจริงนั้นมีอะไรที่ทำได้และอะไรที่ไม่ได้ผล ด้วยวิธีนี้เราก็จะสามารถให้ความมั่นใจกับนักเรียนนานาชาติและครอบครัวของพวกเขาได้ ว่าความปลอดภัยของแต่ละบุคคลนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ช่วงรับน้องใหม่กลางปีก็เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ ซึ่งก็เป็นโอกาสอันเหมาะสมที่จะพุ่งความสนใจไปในเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนนานาชาติ
ศาสตราจารย์เจฟ วิลก์ส์ ไม่ได้ทำงานให้ เป็นที่ปรึกษาให้ หรือรับเงิน หรือมีหุ้นส่วนในบริษัทหรือองค์กรใดๆ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากบทความนี้ และได้เปิดเผยว่าไม่มความสัมพันธ์อื่นใดต่อกันนอกเหนือจากตำแหน่งทางวิชาการ