กด ▶ ฟังพอดคาสต์ด้านบน
การสร้างชีวิตใหม่ในออสเตรเลียนับว่าเป็นความฝันของหลายคนที่อพยพมาประเทศนี้ แต่การทำตามความฝันนั้นอาจต้องเผชิญอุปสรรคมากมาย
คุณเจสสิกา ฮาร์กินส์ (Jessica Harkins) ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการด้านความรุนแรงในครอบครัวและความรุนแรงทางเพศจากเซทเทิ่ลเมนท์ เซอร์วิสส์ อินเตอร์เนชั่นแนล โดเมสติก (Settlement Services International Domestic) มีโครงการ ซึ่งร่วมกับ สำหรับชายอายุ 18 ปีขึ้นไปที่เคยใช้ความรุนแรงหรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวในความสัมพันธ์
โดยคุณฮาร์กินส์อธิบายถึง ที่ดำเนินการมาหลาย 10 ปี และยังมีโปรแกรมที่ปรับให้เหมาะกับวัฒนธรรมต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้ชายรับมือกับการปรับตัวในประเทศใหม่ด้วย
“เหตุผลที่มีการปรับเปลี่ยนเพราะมีการตระหนักว่าโปรแกรมเดิมนั้นเน้นที่ผู้ที่พูดภาษาอังกฤษได้ และไม่ดึงดูดหรือไม่เข้าใจความต้องการของผู้ชายที่มีวัฒนธรรมและภูมิหลังที่หลากหลาย พวกเขาไม่สามารถให้บริการได้เพราะไม่สามารถใช้ล่ามได้”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ถกปัญหาสุขภาพจิตของ “คนไทยไกลบ้าน”
โปรแกรมสร้างครอบครัวที่เข้มแข็งนั้นมีทั้งงานบริการเป็นกรณีไปหรืองานกลุ่ม ซึ่งเป็นภาษาอาราบิกหรือภาษาทมิลเป็นเวลา 18 สัปดาห์
“เราเลือกชุมชนเหล่านี้เพราะเราเคยทำงานกับพวกเขา เราสามารถติดต่อพวกเขาได้ ไม่ได้มีหลักฐานว่าชุมชนใดมีอัตราของความรุนแรงสูงกว่าชุมชนใด เราทราบดีว่าผู้หญิงที่เป็นผู้อพยพหรือผู้ลี้ภัยมักเผชิญอุปสรรคด้านระบบ ภาษา วัฒนธรรมและการย้ายถิ่นฐาน”
คุณกัสซัน นูไจม์ (Ghassan Noujaim) ชาวเลบานอนเคยเป็นผู้ร่วมงานกับโครงการนี้ เขากล่าวว่าผู้ชายมักถูกมองว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวในบางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นความคาดหวังว่าผู้ชายจะเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว และคนในครอบครัวจึงต้องฟังและปฏิบัติตาม
สิ่งที่ตามมาคืออารมณ์ที่เกิดจากความวิตกกังวล (anxiety) ในการตั้งถิ่นฐาน
"และการที่ต้องเป็นผู้นำครอบครัว 80% ของผู้เข้าร่วมโครงการมีทักษะอาชีพจากประเทศบ้านเกิด แต่เมื่อพวกเขามาที่นี่ พวกเขาไม่มีงาน และอีกหลายเหตุผล นั่นยิ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับสถานการณ์ของพวกเขา”
ผู้ชายยืนอยู่ที่ทะเล Source: Getty / Getty Images_Benjamin Lee_EyeEm
“ถ้าผมร้องไห้ ผมไม่ใช่ผู้ชาย ถ้าผมขอความช่วยเหลือหรืออ่อนแอ ผมไม่ใช่ผู้ชาย ภาพของความเป็นผู้ชายต่างๆ แต่ผู้ชายก็เป็นมนุษย์ มีอารมณ์เหมือนกัน และถ้าเราไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องอารมณ์ในทางบวก เราอาจจะเลือกหนทางอีกด้านหนึ่ง”
คุณหมอซุมโบ เอ็นดี (Sumbo Ndi) เป็นไลฟ์ โค้ช (life coach) และหัวหน้าทีมให้คำปรึกษาที่รีเลชั่นชิปส์ ออสเตรเลียแห่งรัฐเซาท์ ออสเตรเลีย กล่าวว่าการรับรู้และจัดการกับอุปสรรคบางอย่างในชีวิตเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายเช่นกัน
“หากบทบาทเหล่านั้นเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ของคนคนนั้น การสูญเสียอัตลักษณ์ในสถานที่ใหม่และบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ทำให้คุณมีค่าน้อยลงหรือมีส่วนร่วมน้อยลง การยอมรับความจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องจำเป็นเมื่ออาศัยอยู่ในบริบทที่แตกต่างไป”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ผู้ชายไม่ควรมองข้ามเรื่องสุขภาพจิต
มี ที่ให้ความรู้แก่ชาย หญิง และเยาวชนชาวแอฟริกันในแอดิเลดเรื่องความรุนแรงในครอบครัว
คุณหมอเอ็นดีส่งเสริมให้สมาชิกในชุมชนรียนรู้มุมมองและประสบการณ์ของกันและกัน ระหว่างที่พวกเขาปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่ออสเตรเลีย เพื่อสร้างชีวิตที่ดีและครอบครัวที่มั่นคง และบางครั้งการเปลี่ยนแปลงบทบาทของสมาชิกในครอบครัวอาจหมายถึงความสัมพันธ์ที่ยังคงอยู่ในรูปแบบที่ต่างไป
“นี่เป็นเป้าหมายร่วมกัน เป็นวิสัยทัศน์ร่วมกัน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมเปิดใจที่จะมองดูว่า เอาล่ะ เราจะแก้ไขปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้อย่างไร? เราอยากให้ครอบครัวของเรามีความสุข ให้ลูกๆ ได้ไปโรงเรียน มีงานที่ดี และสิ่งต่างๆ”
คุณแอนดรูว์ คิง (Andrew King) นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาวะของสุภาพบุรุษ เขาเป็นผู้จัดการด้านการศึกษาของชุมชนและผู้ร่วมงานของรีเลชั่นชิปส์ ออสเตรเลียรัฐนิวเซาท์เวลส์แนะนำให้เริ่มการเปลี่ยนแปลงโดยการคำนึงถึงสิ่งที่คุณอยากสืบทอดให้กับลูกหลานของคุณ
คุณอยากให้ลูกๆ ของคุณเป็นอย่างไรเมื่อพวกเขาอายุ 18 ปี?
"คุณอยากให้พวกเขาพูดถึงคุณอย่างไร? ขอบคุณพ่อ เราซาบซึ้งในสิ่งที่... คุณอยากให้ประโยคนั้นลงท้ายอย่างไร?”
คุณพ่อนั่งคุยกับลูกชายที่บันได Source: Getty / Getty Images_Jose Luis Pelaez
“ผู้ชายมักเรียนรู้ที่จะซ่อนความรู้สึก เรื่องน่าเศร้าคือยิ่งคุณโตขึ้น การแสดงความรู้สึกของคุณเป็นสิ่งสำคัญในความสัมพันธ์ มันไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอ จริงๆ แล้วมันเป็นสัญญาณของความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ มันช่วยในการสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้อื่น อีกสิ่งสำคัญที่ผู้ชายควรเรียนรู้คือปล่อยวางคำสอนเก่าๆ ที่พวกเขาเคยได้รับในวัยเด็ก เพื่อให้สามารถแบ่งปันความรู้สึกกับคนสำคัญได้”
การเก็บความรู้สึกและอารมณ์อาจปะทุเป็นภูเขาไฟได้ในภายหลัง ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมก้าวร้าว
เหมือนกับขวดโค้กที่คุณเขย่า สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าเรารู้ คือเราคิดว่าผู้อื่นทำให้เราระเบิด ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง จริงๆ แล้วเราเลือกได้
ลูกชายอยู่บนไหล่ของคุณพ่อ Source: Getty / Getty Images_Aliyev Alexei Sergeevich
“สิ่งที่มักจะดีคือการนั่งลง เพราะพลังงานของคุณจะมีศูนย์กลางมากขึ้น ผ่อนคลาย ก่อนที่จะพูดคุยเรื่องสำคัญกับใครสักคน พยายามอย่าใช้ยาหรือแอลกอฮอล์ เพราะมันจะทำให้เราสับสนกับความคิดและความรู้สึก ทำให้วุ่นวาย วางแผนล่วงหน้า แน่นอนมันหมายความว่าคุณกำลังทำสิ่งที่แตกต่างไปจากวิธีที่คุณเติบโตมา และนั่นเป็นเรื่องท้าทาย แต่ก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน”
แม้ว่าการพูดถึงความรุนแรงในครอบครัวถูกมองว่าเป็นเรื่องต้องห้าม การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการพูดคุยอย่างเปิดอกในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
“ในแง่ของความเข้าใจว่าความรุนแรงในครอบครัวเป็นอย่างไร เพราะหลายคนเข้าใจในลักษณะทางกายภาพ ในเรื่องของการตบตี แต่ความหมายครอบคลุมถึงการสามารถพูดคุยเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ การทำร้ายร่างกาย การล่วงละเมิดทางเพศ หรือแม้แต่ทางการเงิน มันช่วยให้ผู้คนเข้าใจได้มากขึ้นว่า แม้ว่าคุณจะไม่ได้ตบตี แต่คุณอาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดีทางใดทางหนึ่ง”
คุณพ่อกำลังพับผ้ากับลูกสาว Credit: MoMo Productions
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่