กดฟังรายงาน
LISTEN TO
ผู้เชี่ยวชาญเตือนอย่าชะล่าใจเกี่ยวกับโควิดและวัคซีน
SBS Thai
01/04/202208:26
ในขณะที่รัฐบาลสหพันธรัฐออสเตรเลียกำลังผลักดันให้มีการเริ่มยกเลิกข้อกำหนดด้านกักตัวเพื่อกักโรคโควิด-19 และมาตรการการตรวจเชื้อ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเตือนว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนากำลังเพิ่มสูงขึ้น และรัฐบาลควรยังคงมองเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ขณะนี้ ผู้คนในออสเตรเลียจำนวนมากขึ้นเชื่อถือผลการตรวจเชื้อด้วยชุดตรวจเชื้อด้วยตนเองแบบทราบผลรวดเร็ว (Rapid Antigen Tests หรือ RAT) เพื่อจะกลับไปยังที่ทำงานได้
แต่ศาสตราจารย์ แคเทอรีน เบนเนตต์ หัวหน้าภาควิชาระบาดวิทยาของมหาวิทยาลัยดีคิน เตือนไม่ให้ผู้คนเชื่อถือผลการตรวจเชื้อด้วยชุดตรวจเชื้อด้วยตนเองมากจนเกินไป เนื่องจากปัญหาด้านความถูกต้องแม่นยำ"ชุดตรวจเชื้อด้วยตนเองแบบทราบผลรวดเร็วที่อนุมัติในออสเตรเลียทั้งหมดนั้นในทางทฤษฎีแล้วดูดีมาก สำหรับความละเอียดอ่อนหรือความแม่นยำนั้นสามารถตรวจพบการติดเชื้อได้ 80 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วเรารู้ว่ามันน้อยกว่านั้นมาก โดยเฉพาะการตรวจเองที่ในบ้าน และเรื่องอื่นๆ เช่น การเก็บรักษาชุดตรวจเชื้อก่อนใช้งาน หรือการที่ผู้คนอาจกินอาหารหรือแปรงฟันภายในครึ่งชั่วโมงก่อนตรวจเชื้อ สิ่งเหล่านั้นก็ส่งผลต่อการตรวจเชื้อได้เช่นกัน และผู้คนก็ประสบปัญหาในการอ่านผลการตรวจเชื้อด้วย ดังนั้น สิ่งเหล่านั้นในโลกแห่งความเป็นจริงจึงลดความแม่นยำนั้นลง ซึ่งอาจลดลงเหลือราว 60 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเราอาจตรวจไม่พบการติดเชื้อ 30 หรือ 40 เปอร์เซ็นต์ในการตรวจเชื้อครั้งแรก" ศ. เบนเนตต์ กล่าว
การกินอาหารหรือแปรงฟันภายในครึ่งชั่วโมงก่อนตรวจเชื้อ อาจทำให้การตรวจเชื้อไม่แม่นยำ Source: Pixabay
การเก็บรักษาชุดตรวจเชื้อก่อนใช้งาน หรือการที่ผู้คนอาจกินอาหารหรือแปรงฟันภายในครึ่งชั่วโมงก่อนตรวจเชื้อ สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลต่อความแม่นยำในการตรวจเชื้อได้เช่นกัน
เธอกล่าวต่อไปว่า ถ้ามีอาการของโควิด-19 นั่นควรลบล้างผลการตรวจด้วยชุดตรวจเชื้อด้วยตนเองเสมอ และผู้ที่มีอาการควรกักตัวที่บ้าน แทนที่จะกลับไปยังที่ทำงาน
"หากเราใช้ชุดตรวจเหล่านี้หลายครั้ง เมื่อเรามีอาการหรือได้พบปะใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและตรวจเชื้อแล้วและพบผลเป็นลบ แต่เราก็ตรวจซ้ำอีกครั้ง เราจะมีโอกาสที่จะตรวจพลาดทุกครั้งน้อยลง ดังนั้นการตรวจซ้ำจะทำให้ผลแม่นยำขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ในแต่ละครั้งที่ทำการตรวจเชื้อ อาจตรวจพลาดไปราว 1 ใน 5 หรือราว 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็อาจตรวจพลาดมากกว่า 1 ใน 3 แต่เราต้องจำไว้ว่าอาการควรลบล้างผลการตรวจเสมอ ดังนั้น หากเรามีอาการและผลการตรวจเป็นลบ เราควรถือว่าติดโควิด จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่โควิด" ศ.เบนเนตต์ กล่าว
หากเรามีอาการและผลการตรวจเป็นลบ เราควรถือว่าติดโควิด จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่โควิด
หากเรามีอาการแต่ผลการตรวจด้วยชุดตรวจเชื้อด้วยตนเองเป็นลบ เราควรถือว่าติดโควิด จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่โควิด Source: Pixabay
ศาสตราจารย์ โรเบิร์ต บอย (Robert Booy) กุมารแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ กล่าวว่า การผ่อนคลายข้อจำกัดของรัฐบาล และโอกาสที่จะตรวจเชื้อพลาดจากการใช้ชุดตรวจเชื้อด้วยตนเอง (RAT) อย่างไม่ถูกต้องนั้น จึงทำให้เขาเตือนว่า ผู้คนในออสเตรเลียที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ควรรีบไปรับการฉีดเสีย
"เป็นที่ทราบกันอย่างชัดเจนว่า ถ้าเราได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 เรามีความเสี่ยงต่ำมากที่จะป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิต ความเสี่ยงของการป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิตหากเราได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 นั้นต่ำกว่า อย่างน้อย 10 เท่า ใครก็ตามที่จนถึงขณะนี้ได้รับวัคซีนแล้วเพียงสองเข็มและกำลังรอวัคซีนเข็มที่สามอยู่ ก็ขอให้รีบไปรับการฉีดเสีย" ศ.บอย กล่าว
เขายังบอกอีกว่า สำหรับวัคซีนเข็มกระตุ้นครั้งที่สองนั้น จะมีให้ฉีดได้ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายนเป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้คนในออสเตรเลียที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ผู้เชี่ยวชาญในออสเตรเลียเตือนประชาชนอย่าชะล่าใจเกี่ยวกับโควิดและให้รีบไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น Source: AAP / Bianca De Marchi
เขากล่าวว่า หากในช่วงฤดูหนาว กลุ่มที่ปรึกษาทางเทคนิคเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันโรคแห่งออสเตรเลีย หรือ ATAGI เห็นผลลัพธ์ที่เป็นชิ้นเป็นอันเกี่ยวกับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่มเติม พวกเขาอาจพิจารณาขยายคำแนะนำนี้ไปสู่ประชากรทั่วไป
"วัคซีนเข็มกระตุ้นครั้งที่สองเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันไม่ดี ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีชาวออสเตรเลียครึ่งล้านคนที่เป็นมะเร็งหรือได้รับเคมีบำบัด หรือใช้ยาไฮโดรสเตียรอยด์ หรือได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูก คนเหล่านั้นจะได้รับประโยชน์จากวัคซีนเข็มที่ 4 เช่นเดียวกับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ นั่นคือระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขาแก่ตัวลง และสำหรับคนเหล่านี้การได้รับวัคซีนเข็มที่สี่จึงมีประโยชน์ ซึ่งจะฉีดได้ตั้งแต่ 4 เมษายน โดยจะให้การปกป้องที่ดีขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นเป็นระยะเวลานานขึ้น" ศ.บอย กล่าว
แม้ว่าอัตราการรักษาตัวในโรงพยาบาลและอัตราการเสียชีวิตจะลดลง เมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่ผู้คนในออสเตรเลียจะเข้าถึงวัคซีนต้านโควิด-19 และอาการป่วยต่างๆ จากการติดเชื้อโดยทั่วไปไม่รุนแรงนักสำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว แต่ศาสตราจารย์ ไมเคิล ทูล จากสถาบันเบอร์เนต เตือนว่าอย่ามองข้ามอันตรายจากโควิด
เขากล่าวว่า อาการ 'โควิดระยะยาว' หรือ Long Covid จะเป็นปัญหาสำหรับระบบสุขภาพ และ 1 ใน 4 ของผู้ป่วยโควิด-19 มีแนวโน้มที่จะมีอาการต่อเนื่อง
"ตอนนี้เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนจากข้อมูลในต่างประเทศว่าราว 25 เปอร์เซ็นต์ของผู้คนจะลงเอยด้วยอาการ 'โควิดระยะยาว' (หรือ Long Covid) และนั่นก็อาจจะเป็นเช่นเดียวกันสำหรับเด็กและวัยรุ่น ดังนั้นคนเหล่านั้นจะมีปัญหาในการกลับไปทำงาน การรับมือกับการเรียนการทำการบ้าน และจะเป็นภาระต่อระบบสุขภาพ ดังนั้น เราไม่ควรมองว่าความตาย ว่าเป็นผลเพียงอย่างเดียวจากการติดเชื้อ" ศ.ทูล กล่าว
จากข้อมูลในต่างประเทศว่าราว 25 เปอร์เซ็นต์ของผู้คนจะลงเอยด้วยอาการ 'โควิดระยะยาว' (หรือ Long Covid)
จากการระบาดของเชื้อ BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน ที่แพร่กระจายได้ง่ายกว่าเดิม หน่วยงานด้านสุขภาพต่างๆ จึงเรียกร้องให้ผู้คนในออสเตรเลียออกไปรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
ในรัฐนิวเซาท์เวลส์นั้น มีผู้คนมากกว่าสองล้านคนที่ขณะนี้มีสิทธิ์รับวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือวัคซีนต้านโควิดเข็มที่สามแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปรับการฉีดเลย
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ออสเตรเลียอนุมัติวัคซีนโควิดเข็มที่ 4