กด ▶ ฟังพอดคาสต์ด้านบน
ดาราศาสตร์เป็นการศึกษาเกี่ยวกับวัตถุและปรากฎการณ์ต่างๆ บนท้องฟ้า ความรู้เรื่องดาราศาสตร์ของชนพื้นเมืองเป็นความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับดวงดาวที่มีความสัมพันธ์กับผืนดิน เป็นแนวความคิดว่าทุกสิ่งบนผืนดินสะท้อนอยู่บนท้องฟ้า
สำหรับชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรส ท้องฟ้าสะท้อนถึงแนวปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่สืบทอดผ่านประเพณีการเล่าเรื่องราวจากรุ่นสู่รุ่น การเล่าขานในรูปแบบของเรื่องราว เพลง พิธีกรรม และศิลปะ
ป้าโจแอน เซลฟ์ หญิงชาวกาดิกัล เติบโตมากับการเรียนรู้เรื่องทางช้างเผือกที่แม่ของเธอ ผู้อาวุโส และผู้มีองค์ความรู้ในชุมชนของเธอเล่าสืบกันมา
“กว่าหกหมื่นปีที่ชนพื้นเมืองศึกษาเรื่องท้องฟ้า มันช่วยให้เราเข้าใจโลกที่อยู่รอบตัวเรา โดยการสังเกตดวงดาว ดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และบรรยากาศ เพื่อพยากรณ์อากาศและกระแสน้ำ เพื่อนำทางทั้งบนบกและในน้ำ และเพื่อวางแผนการหาอาหาร การล่าสัตว์ การค้าขาย การประกอบพิธีกรรม รวมถึงเล่าขานเรื่องราวจากรุ่นสู่รุ่น การมองและศึกษาท้องฟ้าเป็นวิธีสำคัญในการเข้าใจ โต้ตอบ และสืบสานความสัมพันธ์กับดินแดนของเรา เพื่อรู้ตำแหน่งของเราในจักรวาล”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ทำไมท้องฟ้าออสเตรเลียถึงเหมาะกับการตามหาทางช้างเผือก?
ความรู้ทางดาราศาสตร์ของชนพื้นเมืองเป็นวิธีที่พวกเขาใช้ในการทำความเข้าใจโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ รวมถึงบทบาทและความรับผิดชอบของพวกเขาต่อโลก
เรามีคำพูดว่า ทุกสิ่งที่อยู่บนนั้นล้วนอยู่ด้านล่างนี้ด้วย คุณสามารถหาชุมชนของคุณ บทเพลง สถานที่ประกอบพิธีสำคัญ และเป็นจุดหาเส้นทางโดยใช้ดวงดาว และคุณต้องใช้ความช่วยเหลือเล็กน้อยเพื่อเข้าใจทุกสิ่ง โดยใช้การเต้นรำ ภาษา และความสัมพันธ์ของพื้นที่ของคุณกับดินแดน ทุกสิ่งประกอบกันป้าโจแอนกล่าว
ดูแอน ฮามาเชอร์ รองศาสตราจารย์ด้านดาราศาสตร์ จากคณะฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ทำงานกับชุมชนชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสเพื่อบันทึกความรู้ดั้งเดิมที่มี
“สิ่งที่ผู้อาวุโสกล่าวถึง คือทุกสิ่งบนท้องฟ้าสัมพันธ์กับผืนดิน ดังนั้นหากคุณต้องการทราบถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวคุณ ให้ดูที่ดวงดาว มนุษย์เรามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับดวงดาวเสมอมา ดาวเหล่านี้สามารถเป็นตำราเรียนได้ เป็นแผนที่ เป็นบทกฎหมาย กฎเกณฑ์ทางสังคม สามารถใช้เป็นนาฬิกาบอกเวลาและพื้นที่ของความทรงจำ คุณสามารถใส่รหัสข้อมูลลงในความทรงจำโดยใช้ประโยชน์จากดวงดาว”
ดวงจันทร์บนสะพานฮาร์เบอร์ บริดจ์ Credit: Eclipse Chasers
สิ่งสำคัญที่สุดในการทำความเข้าใจความรู้เรื่องดวงดาวของชนพื้นเมืองคือมันเกี่ยวโยงกับทุกสิ่ง เมื่อคุณต้องการรู้ว่าฤดูจะเปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่ ฝนจะตกไหม สัตว์จะมีพฤติกรรมอย่างไร เมื่อไหร่ควรปลูกหรือเก็บเกี่ยวพืชผล คุณต้องสามารถมองดวงดาวและเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร และมองสิ่งรอบตัวคุณด้วยรองศาสตราจารย์ฮามาเซอร์กล่าว
แนวทางการมองโลกรอบตัวเราเป็นหัวใจของวัฒนธรรมของชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรส
“ผู้อาวุโสที่ช่องแคบทอร์เรสพูดถึงการสังเกตการกะพริบของดาว หากคุณเข้าใจว่าดาวกะพริบอย่างไร นั่นหมายถึงการสังเกตหรือตีความการเปลี่ยนแปลงในบริเวณนั้นและตำแหน่งของดวงดาว หากคุณสามารถอ่านการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นได้ สิ่งเหล่านั้นจะบอกคุณเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม บอกได้ว่าพายุกำลังจะมาหรือไม่ หรือฤดูกาลกำลังจะเปลี่ยนหรือไม่”
ภาพทางช้างเผือกบนท้องฟ้า Credit: Ken Cheung
วัฎจักรการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้านี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงบนผืนดิน ป้าโจแอนน์อธิบายสิ่งเหล่านี้ว่า นกอีมูบนท้องฟ้าหรือนกอีมูมืด เป็นกลุ่มดาวที่รู้จักกันดี ซึ่งอยู่บริเวณที่มืดรอบทางช้างเผือก
“สิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับนกอีมูบนท้องฟ้าคือ มันแสดงให้เห็นว่าชนพื้นเมืองใช้บริเวณมืดบนท้องฟ้าได้มากพอๆ กับดวงดาว และมันยังบอกพฤติกรรมของนกอีมูได้ด้วย เราเห็นสิ่งที่อีมูทำบนผืนดิน และเห็นสิ่งนั้นบนท้องฟ้าด้วยเช่นกัน”
รศ. ฮามาเซอร์กล่าวว่า เมื่อกลุ่มดาวนกอีมูเริ่มขึ้นบนท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มักเป็นช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม
“ตรงกับช่วงเวลานั้นของปีที่นกอีมูเริ่มสืบพันธุ์ เมื่อบริเวณมืดของกลุ่มดาวนั้นอยู่ตำแหน่งเหนือศีรษะในเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคม นั่นเป็นช่วงที่นกอีมูกำลังกกไข่ เมื่อกลุ่มดาวนี้เคลื่อนตัวและตั้งฉากกับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ นั่นเป็นช่วงที่นกอีมูกำลังเลี้ยงลูกนกที่กำลังจะฟักเป็นตัว”
กลุ่มดาวนกอีมูกำลังขึ้น Credit: Geoffrey Wyatt
“บางตำนานอาจกล่าวถึงดวงจันทร์ว่าเป็นมนุษย์ที่ออกล่านกอีมู และนกอีมูพยายามวิ่งผ่านต้นไม้ที่อยู่เหนือแม่น้ำ และตกลงไปในน้ำ เมื่อคุณมองขึ้นไปบนฟ้า คุณจะเห็นนกอีมูอยู่ในแม่น้ำบนฟ้า ซึ่งคือทางช้างเผือก คุณจะเห็นว่าต้นไม้ที่ล้มทับนั้นคือกลุ่มดาวกางเขนใต้ (southern cross) สำหรับต้นไม้ยาร์รานซึ่งอยู่ใกล้ส่วนหัวของนกอีมู เมื่อมันตกลงไปในน้ำ จากนั้นเมื่อดวงจันทร์โคจรมา นกอีมูบนท้องฟ้าจะหายไป เพื่อซ่อนตัวจากดวงจันทร์ เพราะนกอีมูเป็นนักล่าที่พยายามเลี่ยงดวงจันทร์ สิ่งนั้นยังพูดถึงแสงของดวงจันทร์ที่มารบกวน และเหตุใดจึงยากที่จะเห็นทางช้างเผือก ในช่วงที่ดวงจันทร์ส่องสว่าง”
ปรากฏการณ์บนท้องฟ้า เช่น ดาวตก มีความหมายในวัฒนธรรมชนพื้นเมืองเช่นกัน
รศ. ฮามาเซอร์อธิบายถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสสอนถึงความสำคัญของปรากฏการณ์เหล่านี้ ในการเข้าใจชีวิต ความตาย และอัตลักษณ์
“ดาวตกที่สว่างไสวเป็นหนึ่งในสองสิ่งที่มักเกี่ยวโยงกัน หนึ่งเป็นวิญญาณชั่วร้าย ถูกมองว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายรูปร่างผอมยาวที่บินข้ามท้องฟ้า และสองเกี่ยวข้องกับความตายด้วย เช่น ชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสเรียกดาวตกที่สว่างไสวว่า ‘ไมเออร์ (Maier)’ มองว่าเป็นวิญญาณของคนที่เพิ่งเสียชีวิตหรือกำลังจะเสียชีวิต”
ป้าโจแอน และรองศาสตราจารย์ดูแอน ฮามาเซอร์ Credit: Supplied, Amanda Fordyce
“ตามหลักดาราศาสตร์ของชนพื้นเมือง ต้นกำเนิดของจักรวาลย้อนไปไกลถึง ‘ตจูคูร์ปา (Tjukurrpa)’ ซึ่งชาวตะวันตกเรียกสิ่งนี้ว่าการฝัน แต่ชนพื้นเมืองมองว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นนานมากแล้ว ช่วงเวลาที่ทุกสิ่งถือกำเนิดขึ้น แต่สิ่งที่น่าสนใจประวัติศาสตร์นี้คือ ทั้งเวลาหรือประวัติศาสตร์มีความหมาย ซึ่งต่างจากที่เราเข้าใจ มันเป็นแนวคิดที่เรียกว่าทุกเมื่อ เช่นเดียวกับที่ผู้คนเดินทางไปรอบโลก สร้างภูเขา แม่น้ำ ท้องฟ้า และวัตถุบนท้องฟ้าที่เราเห็นรอบตัวเรา มันทำให้คุณได้มองเห็นว่าเราเป็นผู้ที่ร่วมสร้างจักรวาลที่เราอาศัยอยู่ร่วมกัน ผู้สังเกตการณ์และผู้ที่ถูกสังเกตการณ์คือคนคนเดียวกัน”
ด้วยแนวคิดนี้ ความรู้เรื่องดวงดาวของชนพื้นเมืองจึงเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกันเป็นแนวความรู้แบบองค์รวม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
Settlement Guide: ชมฟ้าส่องดาวในออสเตรเลีย