ขณะที่กำลังมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนามากขึ้นในประเทศ และมีการจำกัดการออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็นของประชาชนในหลายๆ รัฐ ลูกจ้างคนทำงานในออสเตรเลียหลายพันคนต้องต่อสู้กับความท้าทายอีกอย่างหนึ่งไปพร้อมๆ กัน นั่นคือการทำงานจากบ้าน
ไม่ว่าจะเป็นการหาสถานที่ที่เหมาะสมในบ้านเพื่อนั่งทำงาน การหากิจกรรมให้ลูกๆ ทำจะได้ไม่นั่งว่างๆ และการทำให้ตัวเองมีอะไรทำอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้อาจจะยากลำบากที่จะต้องปรับตัว สำหรับการทำงานจากบ้าน
เอสบีเอส นิวส์ ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ให้การเปลี่ยนผ่านนี้เป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
สถานการณ์จริงของลูกจ้าง
หลังเกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 ประชาชนในออสเตรเลียจำนวนมากต้องทำงานจากบ้านเป็นครั้งแรก
เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะล็อกอินเข้าระบบที่ทำงานจากบ้าน ประชุมทางวิดีโอแชท ใช้เวลาของพวกเขาทำงานหรือเรียนจากห้องนั่งเล่น แทนที่จะทำจากสำนักงาน
สำหรับคุณแครอล บูเชียร์ คุณแม่ลูก 3 ซึ่งทำงานเป็นผู้ช่วยผู้บริหาร (Executive Assistant) ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำงานจากบ้าน แต่เธอกล่าวว่า นี่เป็นสถานการณ์ที่ผิดไปจากปกติธรรมดา
การห้ามประชาชนออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น หมายความว่า สามีของเธอ รวมทั้งลูกๆ 3 คน ที่อายุ 12 ขวบ 6 ขวบ และ 13 เดือน จะต้องอยู่บ้านด้วยทุกคน
“พวกเราจะต้องกำหนดพื้นที่ภายในบ้าน และตารางเวลา หรือทำนองนั้น เพราะนี่เป็นบ้าน 3 ห้องนอน มันไม่ใหญ่โต จึงอาจลำบากนิดหนึ่ง” คุณ บูเชียร์ เล่า
เธอกล่าวต่อไปว่า เธอและสามีจะต้องขอทำงานในเวลาที่ยืดหยุ่นได้ เพื่อว่าคนหนึ่งจะสามารถดูแลลูกๆ ได้ในตอนเช้า และอีกคนหนึ่งดูแลลูกๆ ในตอนบ่าย
ขณะที่เธอยอมรับว่า ช่วงเวลานี้จะยากลำบาก แต่คุณบูเชียร์ ซึ่งดั้งเดิมมาจากฝรั่งเศส และเคยอาศัยอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก มั่นใจว่าประชาชนจะสามารถปรับตัวได้
“มนุษย์ทำได้ เรามักปรับตัวให้เข้ากับทุกอย่างได้เสมอ ตอนแรกๆ เราอาจวิตก และอาจใช้เวลาสักระยะกว่าจะเคยชิน แต่เราจะทำได้ ฉันเป็นคนหนึ่งที่เคยอยู่มาแล้วหลายประเทศ ในสถานการณ์ที่ต่างกัน ฉันย้ายที่อยู่บ่อย และฉันมักปรับตัวได้เสมอ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำกันอยู่แล้ว” คุณบูเชียร์ แสดงความเห็น
ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นด้วยว่า แน่นอนที่สุด ที่จะต้องใช้เวลาในการปรับตัวสำหรับการทำงานหรือบ้าน หรือที่เรียกกันทางโซเชียลมีเดียว่า W-F-H
เคล็ดไม่ลับที่จะช่วยให้การทำงานจากบ้านราบรื่น
ศาสตราจารย์ พอลา โบรห์ นักจิตวิทยาด้านอาชีวะ กล่าวว่า สำหรับผู้คนที่ทำงานจากบ้านเป็นครั้งแรก พวกเขาควรปฏิบัติตามกิจวัตรเดิมที่เคยทำ เหมือนกับในช่วงที่พวกเขาต้องไปทำงาน
“ฉันคิดว่า หากคุณไม่คุ้นเคยกับการทำงานที่บ้านบ่อยนัก สำหรับหลายๆ คนที่เคยทำเป็นครั้งแรก มันค่อนข้างสำคัญและช่วยได้มาก ที่จะพยายามมีกรอบความคิดว่ากำลังทำงานอยู่ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้น หากโดยปกติแล้วคุณตื่นนอนในเวลาใดเวลาหนึ่งเพื่อไปทำงาน และคุณมีกิจวัตรที่ทำประจำในตอนเช้า ก็ให้ทำเช่นนั้นต่อไป” ศ.โบรห์ แนะนำ
เธอกล่าวว่า ควรตั้งแบบแผนการทำงานของตนตลอดทั้งวัน เช่น การร่วมประชุมทางวิดีโอ การจัดประชุมต่อไป แม้จะเป็นแบบสเมือนจริงก็ตาม รวมทั้ง หาช่วงพักรับประทานอาหาร หรือไปเดินเล่นสักชั่วครู่ ซึ่งจะช่วยให้วันทำงานมีประสิทธิผลมากขึ้น
เธอกล่าวว่า ขณะที่มันอาจเย้ายวนใจ ที่เราจะนอนอยู่บนโซฟาโดยยังสวมชุดนอนอยู่ และทำงานจากบ้านทั้งอย่างนั้น แต่การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สะดวกสบาย และปฏิบัติได้จริง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่การทำงานจากบ้านได้อย่างประสบความสำเร็จ
“คุณควรจำลองที่ทำงานที่คุณมีในสำนักงาน มาไว้ในสภาพแวดล้อมสำหรับการทำงานที่บ้านของคุณ ดังนั้น ถ้าเลือกได้ ก็ไม่ควรทำงานจากเตียงนอน หรือจากโซฟา แต่ให้มีโต๊ะ หรือพื้นที่ที่คุณสามารถจัดให้เหมือนกับที่คุณทำในสำนักงาน” ศ.โบรห์ ชี้
ศ.โบรห์ กล่าวว่า การทำงานจากบ้านอาจดูเหมือน “สิ่งใหม่ที่น่าสนุก” ในตอนแรก คนอาจคิดว่าพวกเขาสามารถซักผ้าไปด้วยได้ ทำความสะอาดบ้านไปด้วย หรือกินขนมจุกจิกตลอดวัน ซึ่งหมายความว่า พวกเขาจะถูกทำให้วอกแวกเสียสมาธิจากงานได้ง่าย
เธอกล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ผู้คนประสบความยากลำบากมากที่สุด คือเรื่องการมีสมาธิจดจ่อและมีแรงจูงใจทำงาน
“คุณอาจถูกทำให้วอกแวกเสียสมาธิในสภาพแวดล้อมของบ้าน จึงขอแนะนำให้คุณคิดในทำนองนี้คือ ฉันจะนั่งลงแล้วทำงานสัก 2-3 ชั่วโมง และจากนั้น ฉันจะไปเอาจานออกจากเครื่องล้างจาน หรือไปตากผ้า” ศ. โบรห์ ยกตัวอย่าง
ความรู้สึกโดดเดี่ยวอาจเป็นความท้าทายเช่นกันเมื่อทำงานจากบ้าน
“โดยเฉพาะผู้ที่เคยชินกับการทำงานในสำนักงานที่คนพลุกพล่าน หรือทำงานในร้านกาแฟ หรือทำงานที่โต๊ะในร้านกาแฟ ที่มีเสียงดัง มีคนทำนั่นทำนี่ และมีผู้คนและมีการเชื่อมโยงทางสังคมอยู่รอบตัว หลังจากผ่านไปสักระยะ อาจจะยากลำบากเมื่อมีแต่คุณคนเดียวกับคอมพิวเตอร์ของคุณ จึงสำคัญมากที่จะต้องได้พบปะคนอื่นทางวิดีโอ แต่มันจะไม่เหมือนกับการพบปะกันทางกายภาพอย่างที่คุณทำเป็นปกติในสภาพแวดล้อมของที่ทำงาน” ศ.โบรห์ อธิบาย
เธอแนะนำว่า ให้จัดเวลาการประชุมทางวิดีโอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้กับเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่การพูดคุยทางโทรศัพท์กับเพื่อนๆ และครอบครัว เพื่อให้คุณยังคงมีจิตใจแจ่มใส โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งการพยายามทำสิ่งใหม่เช่นนี้
เธอกล่าวต่อไปว่า การหมั่นสังเกตสุขภาพจิตของตนอยู่เสมอ มีความสำคัญเทียบเท่ากับสุขภาพกายของคุณ
ความคาดหวังสำหรับนายจ้างและลูกจ้างทำงานจากบ้าน
ดร.โรบิน พรินซ์ อาจารย์ด้านการจ้างงานสัมพันธ์และการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ของมหาวิทยาลัยเซนทรัล ควีนส์แลนด์ กล่าวว่า มีภาระผูกพันตามกฎหมายสำหรับทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เมื่อมีผู้ทำงานจากบ้าน เช่นเดียวกับเมื่อพวกเขาทำงานจากสำนักงาน
ดังนั้น นี่จึงหมายถึง กฎเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยในที่ทำงาน จะครอบคลุมถึงการทำงานที่บ้านด้วย
“นายจ้างมีข้อผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องให้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการทำงานสำหรับลูกจ้างของตน ดังนั้น แน่นอนว่า หากทำได้ นายจ้างควรมีการตรวจสอบพื้นที่ทำงานที่บ้านของลูกจ้างเสียก่อน” ดร.พรินซ์ กล่าว
เธอยังบอกอีกว่า ขณะที่การไปตรวจสอบด้วยตนเองอาจไม่สามารถทำได้ในสถานการณ์ตอนนี้ แต่มีวิธีอื่นๆ ที่นายจ้างจะสามารถตรวจสอบพื้นที่ทำงานของลูกจ้างได้ว่า เป็นไปตามข้อกำหนดด้านสุขภาพและความปลอดภัยหรือไม่
“คุณอาจส่งรายการตรวจสอบ หรือที่เรียกว่าเช็คลิสต์ไปให้ เกี่ยวกับสิ่งที่หากเป็นไปได้แล้วคุณอยากให้พวกเขามี และคุณอาจขอให้ลูกจ้างใช้โปรแกรม กูเกิล แฮงเอาต์ เพื่อโชว์ให้คุณดูรอบๆ พื้นที่ทำงานของพวกเขา หรือให้ส่งรูปพื้นที่ทำงานเข้ามา เพื่อคุณจะได้เก็บไว้ โดยพื้นฐานแล้ว หนึ่ง มันเกี่ยวกับการปกป้องลูกจ้าง สอง ปกป้องนายจ้าง ที่จะพูดได้ว่า พวกเขาตรวจสอบพื้นที่ทำงานแล้ว และพวกเขารู้ว่าลูกจ้างจะนั่งทำงานในสถานที่ที่ปลอดภัย” ดร. พรินซ์ ชี้แจง
เธอกล่าวว่า นายจ้างยังมีภาระผูกพันที่จะต้องให้อุปกรณ์ที่ลูกจ้างต้องมีในการทำงานด้วย เช่น แล็ปท็อป โทรศัพท์ หรือ เก้าอี้สำนักงาน
แต่เธอยอมรับว่า นี่เป็นสถานการณ์วิกฤต และไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวใดเกี่ยวกับประเด็นนี้
“มันเป็นความรับผิดชอบของนายจ้างที่จะให้จัดหาอุปกรณ์การทำงานให้ลูกจ้าง เพื่อให้สามารถทำงานได้และจ่ายเงินคืนให้สำหรับสิ่งที่พวกเขาใช้เงินตัวเองซื้อไป แต่ทุกสิ่งยังคงไม่ชัดเจนและระบบของพวกเขาอาจไม่สามารถบริหารจัดการกับหลายๆ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ได้ ดังนั้น ฉันจึงคิดว่า พวกเราจำเป็นต้องยืดหยุ่นเล็กน้อย” ดร.พรินซ์ เผย
ดร.พรินซ์ แนะนำให้ลูกจ้างเก็บใบเสร็จทุกอย่างไว้ เพื่อจะได้ขอเงินคืนจากภาษีได้
“ลูกจ้างสามารถเก็บหลักฐานไว้ และขอเคลมค่าใช้จ่ายในการดำเนินสำนักงานที่บ้านจากภาษีเงินได้ของตน โดยระบุเป็นค่าใช้จ่ายที่หักภาษีได้” ดร. พรินซ์ แนะนำ
เธอยังบอกอีกว่า ผู้ที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษี สามารถไปได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากรของอสเตรเลีย หรือเอทีโอ เพื่ออ่านรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณสามารถขอเคลมภาษีคืนได้ หรือขอเคลมคืนไม่ได้ จากรายละเอียดในหัวข้อ
รายการ เอสบีเอส ไทย ออนไลน์ ออกอากาศสดหนึ่งชั่วโมงเต็ม กดฟังได้ที่เว็บไซต์ ทุกจันทร์และพฤหัสบดี 22.00 น. (เวลาซิดนีย์/เมลเบิร์น) หลังจากนั้นฟังซ้ำได้ทุกเมื่อ
ติดตาม เอสบีเอส ไทย ทางเฟซบุ๊กได้ที่
เรื่องราวที่น่าสนใจจากเอสบีเอส ไทย
จำคุก 6 เดือนปรับ 11,000 หากละเมิดคำสั่งเพื่อควบคุมไวรัสใน NSW