สายพันธุ์ย่อยล่าสุดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่มีชื่อว่า BA.2.75 มาถึงออสเตรเลียแล้ว พร้อมกับการพูดคุยถึงความสามารถในการหลบหลีกระบบภูมิคุ้มกัน อัตราการแพร่กระจายเชื้อที่เพิ่มขึ้น และข้อมูลที่มีอยู่ของไวรัสโคโรนาที่ลดน้อยลง
ขณะที่รายงานในระยะแรกชี้ว่า การกลายพันธุ์ครั้งใหม่ของโควิด-19 นี้ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถในการติดเชื้อในระดับสูง แต่จำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อยใหม่ BA.2.75 ยังคงปรากฏเพียงเล็กน้อยในออสเตรเลีย
ณ วันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา หน่วยงานสาธารณสุขออสเตรเลียได้บันทึกจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อยตัวใหม่ BA.2.75 ได้อย่างน้อย 10 ราย ด้านโฆษกกระทรวง ฯ ระบุว่า “ระหว่างที่มีคำแนะนำว่าเชื้อสายพันธุ์ย่อย B.2.75 มีความสามารถในการแพร่กระจายเชื้อมากกว่าสายพันธุ์ย่อยก่อนหน้าของเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน แต่ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าจะมีความรุนแรงมากกว่า”
มุมมองในระดับโลก
องค์การอนามัยโลกได้ประกาศเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า กำลังจับตาเชื้อไวรัสสายพันธุ์ย่อยใหม่นี้อย่างใกล้ชิด
หลังเชื้อได้อุบัติขึ้นในประเทศอินเดียเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เชื้อไวรัสสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวได้ถูกพบในหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี และล่าสุดที่เนเธอร์แลนด์เมื่อสัปดาห์ก่อน แพทย์หญิงมาเรีย แวน เคอร์คอฟ (Dr Maria Van Kerkhove) หัวหน้าฝ่ายเทคนิคโควิด-19 ขององค์การอนามัยโลก ระบุว่าเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ยังคงเป็นสายพันธุ์ย่อยที่มีความสามารถในการแพร่กระจายเชื้อมากที่สุดเท่าที่ได้พบเห็นมา เธอยอมรับว่าการติดตามและวิเคราะห์เชื้อสายพันธุ์ย่อยใหม่กำลังเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที ซึ่งหมายความว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ย่อยใหม่ BA.2.75 ในจำนวนน้อยลง
พยาบาลกำลังเตรียมวัคซีนโควิด-19 เพื่อฉีดให้กับชายคนหนึ่งในคลินิกที่อินเดีย Source: AAP / Anupam Nath/AP
พญ.เคอร์คอฟ กล่าวว่า ข้อมูลจากทั่วโลกในการระบุชี้ลักษณะเฉพาะต่าง ๆ กำลังถูกจำกัดมากขึ้น เธอกล่าวอีกว่า แม้จำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรายงานจะเพิ่มขึ้นทั่วโลกเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา “แต่กิจกรรมการเฝ้าระวังได้ลดลงมาอย่างมากทั่วโลก ซึ่งรวมถึงการตรวจหาเชื้อ”
“ในปัจจุบัน เรามีลำดับเหตุการณ์ของเชื้อสายพันธุ์ย่อยตัวนี้ที่มีในสาธารณะน้อยมาก แต่เราก็กังวลเกี่ยวกับเชื้อสายพันธุ์ย่อยนี้ด้วยเช่นกัน” พญ.แวน เคอร์คอฟ กล่าว
เธอกล่าวอีกว่า เชื้อโควิด-19 ทุกสายพันธุ์สร้างความกังวลต่อองค์การอนามัยโลก “เนื่องจากไวรัสนี้แพร่กระจายไปทั่วโลกในระดับที่รุนแรง” และองค์การอนามัยโลกมองว่าเชื้อสายพันธุ์ย่อยทุกตัวของสายพันธุ์โอมิครอน “คือตัวแปรที่น่ากังวล”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ BA.2 เชื้อสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน
ผังครอบครัวของโควิด-19
เช่นเดียวกับเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 เชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.2.75 คือการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนซึ่งพบครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021
ศาสตราจารย์ แคสแซนดรา เบอร์รี (Prof Cassandra Berry) ศาสตราจารย์ภาควิชาภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยเมอร์ด็อก กล่าวว่าเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.2.75 มาหลังจาก BA.4 และ BA.5 ในแง่ของการเรียงลำดับเวลา
“มันสอดคล้องอย่างใกล้ชิดกับเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.2 มากกว่า มันเหมือนกิ่งก้านสาขาที่แตกออกมาจากตรงนั้น” ศาสตราจารย์เบอร์รี กล่าว
‘เซนทอรัส’ ชื่อนี้ได้แต่ใดมา
ขณะที่บางคนอาจเรียกสายพันธุ์ย่อยตัวนี้ว่า “เซนทอรัส (Centaurus)” ซึ่งเป็นทั้งชื่อของดาราจักรที่ห่างไกลออกไป และเป็นชื่อของตัวละครในตำนานกรีก องค์การอนามัยโลกกลับระบุเพียงชื่อ BA.2.75 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
เซนทอรัส เป็นเหมือนชื่อเล่นของเชื้อสายพันธุ์ย่อยดังกล่าว ดูเหมือนว่าจะมีที่มาจากผู้ใช้งานทวิตเตอร์คนหนึ่งซึ่งโพสเนื้อหาเกี่ยวกับโควิด-19 อยู่บ่อยครั้ง และคนอื่น ๆ ก็นำชื่อนี้ไปใช้และเรียกต่อกันมา
การหลบหลีกจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ศาสตราจารย์เบอร์รี กล่าวว่า หนึ่งในความกังวลเกี่ยวกับเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.2.75 และสายพันธุ์ย่อยต่าง ๆ ที่จะอุบัติขึ้นในอนาคต นั่นคือความเป็นไปได้ที่ไวรัสสายพันธุ์ย่อยต่าง ๆ จะพัฒนาเพื่อหลบหลีกระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่มีอยู่
“ผู้คนจำนวนมากในตอนนี้ ... พวกเขาได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว หรืออาจจะเคยเป็นโควิดมาแล้วรอดชีวิตและฟื้นตัว เมื่อไวรัสเปลี่ยนไปในรูปแบบของการกลายพันธุ์ และภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่ทำงาน สิ่งนี้เราเรียกว่าการหลบหลีกระบบภูมิคุ้มกัน”
“ดังนั้น เมื่อแอนติบอดีของคุณถูกผลิตขึ้นจากพื้นที่เล็ก ๆ ตรงปลายแหลมของโปรตีนที่อยู่ด้านนอกเซลล์ไวรัส ซึ่งไม่อาจรับรู้การกลายพันธุ์ได้อีกต่อไป เชื้อสายพันธุ์ย่อยจะหลบหลีกจากแอนติบอดีนั้นไปได้ ดังนั้นแอนตี้บอดี้จึงไม่มีประโยชน์แม้จะมีมันอยู่มากมายในระบบเลือดของเรา มันจะหาไวรัสไม่พบ มันจะจับตัวกับไวรัสไม่ได้ มันจะไม่สามารถป้องกันไวรัสจากการขยายพันธุ์ได้”
ศาสตราจารย์เบอร์รี กล่าวอีกว่า นี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดบางคนจึงติดเชื้อโควิดซ้ำหลายครั้งเธอได้กระตุ้นให้ผู้คนไปรับการฉีดวัคซีนรวมถึงไปรับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ ซึ่งเธอบอกว่าจะลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตและการเข้ารับการรักษาพยาบาล หากพวกเขาติดเชื้อโควิด-19
แคสแซนดรา เบอร์รี เป็นศาสตราจารย์ภาควิชาภูมิคุ้มกันวิทยาที่มหาวิทยาลัยเมอร์ด็อก Source: Supplied / Cassandra Berry
“หากเราไปรับการฉีดวัคซีนอีกโดสหนึ่ง มันจะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของเรา เพื่อให้เซลล์บี (B cells) ของเราผลิตแอนติบอดีออกมามากขึ้น และถึงแม้แอนติบอดีเหล่านั้นจะไม่ตรงกับไวรัสที่กลายพันธุ์โดยเฉพาะ ซึ่งก็คือเชื้อ BA.2.75 มันก็จะยังมีแอนติบอดีบางส่วนซึ่งทำปฏิกิริยาข้ามกันที่อาจเหนี่ยวรั้งมันไว้ได้”
วัคซีนในรูปแบบที่แตกต่าง
ศาสตราจารย์เบอร์รีเชื่อว่า วัคซีนแบบ “ครอบจักรวาล” หรือ “เป็นกลาง” จะสามารถให้การปกป้องที่กว้างขวางและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อป้องกันผู้คนจากการได้รับเชื้อไวรัสโคโรนา
“สิ่งที่ฉันเชื่อว่าเป็นเรื่องฉลาดที่สุดก็คือ การได้รับแอนติเจนทั่วไปจากไวรัสทุกสายพันธุ์ที่มีร่วมกัน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของไวรัสทุกสายพันธุ์ที่จะไม่กลายพันธุ์” ศาสตราจารย์เบอร์รีกล่าว
“เพียงหากเราสามารถค้นหาพื้นที่ซึ่งมีเหมือนกันในส่วนแหลมของเซลล์ระหว่างไวรัสสายพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งตามปกติจะอยู่ตรงส่วนโคนมากกว่าส่วนปลายแหลมได้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องยากในการผลิตวัคซีนและการตอบสนองของแอนติบอดีที่แข็งแรงต่อพื้นที่ที่มีร่วมกันของส่วยปลายแหลมของเซลล์ไวรัส” ศาสตราจารย์เบอร์รีกล่าว
สายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ ในอนาคต
ศาสตราจารย์เบอร์รีกล่าวว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดการณ์ว่าเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.2.75 จะกลายเป็นเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ที่โดดเด่นในออสเตรเลียหรือไม่
“เชื้อไวรัสที่มีเหมาะสมที่สุดจะเป็นเชื้อที่เข้าถึงผู้คนได้มากและขยายพันธุ์ได้ในระดับสูงขึ้น โดยค่อนข้างปริยายก็คือการพัฒนาเป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายเชื้อได้ในระดับสูงมากและมีความโดดเด่น” ศาสตราจารย์เบอร์รีกล่าว
“หากมันคร่าชีวิตผู้คนได้มากขึ้นและส่งผลให้เกิดอาการของโรคที่รุนแรงขึ้น นั่นไม่ใช่ไวรัสที่ฉลาดนัก เพราะพวกมันก็อาจจะหายไปได้เหมือนกับไวรัสอีโบลาบางชนิดที่เราเคยมี”
ศาสตราจารย์เบอร์รีกล่าวอีกว่า แม้เธอไม่แน่ใจว่าเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นจนใช้ตัวอักษรกรีกครบทุกตัวหรือไม่ แต่ก็กล่าวอีกว่าไวรัสนี้จะยังไม่หายไปในเร็ววัน
“ฉันไม่คิดว่าเราจะมีสายพันธุ์โควิดมากไปจนถึงโอเมกา แต่ฉันคิดว่าเราจะต้องอยู่กับโควิดทุกปีจนกระทั่งเรามีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงจริง ๆ และมีภูมิคุ้มกันที่มีปฏิกิริยาข้ามกันอย่างกว้างขวางจากวัคซีนรุ่นใหม่ๆ” ศาสตราจารย์เบอร์รีกล่าว
พร้อมกันนี้ ศาสตราจารย์เบอร์รียังได้กระตุ้นให้ผู้คนสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน เพื่อเป็นหนทางในการลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19
“ฉันคิดว่าการสวมหน้ากากอนามัยจะช่วยลดความเสี่ยงที่มันจะแพร่กระจายได้จริง ๆ และควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อเอาไว้ได้” ศาสตราจารย์เบอร์รีกล่าวทิ้งทาย
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจจาก เอสบีเอส ไทย
คุณมีสิทธิ์รับวัคซีนบูสเตอร์ และยาต้านโควิด-19 หรือไม่