นักประดาน้ำชาวอังกฤษคนหนึ่ง ผู้ซึ่งช่วยเหลือทีมฟุตบอลเยาวชนจำนวน 12 ที่ติดอยู๋ในถ้ำซึ่งถูกน้ำท่วมในประเทศไทย ได้ฟ้องผู้บริหารสูงสุดของเทสลา นายอีลอน มัสก์
นายเวอร์นอน อันส์เวิร์ธ อ้างว่านายมัสก์กล่าวหาเขาอย่างผิดๆ ผ่านทางทวิตเตอร์ว่าเขาเป็นคนใคร่เด็ก
ได้มีการยื่นฟ้อง ณ ศาลสหพันธรัฐที่นครลอสแอนเจลีส โดยเรียกร้องค่าเสียหายมากกว่า $75,000 และให้ศาลสั่งนายมัสก์ให้หยุดการกล่าวหาใดๆ เพิ่มเติม
นายมัสก์เรียกชายชาวอังกฤษคนดังกล่าวว่า “คนใคร่เด็ก” ในการทวีตต่อผู้ติดตามของเขาเป็นจำนวน 22.5 ล้านคน หลังจากที่นาย อันส์เวิร์ธ วิพากษ์วิจารณ์เขาผ่านการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์กับซีเอ็นเอ็นเมื่อวันที่ 13 ก.ค. เกี่ยวกับเรื่องการกู้ชีพ
ผู้นำบริษัทเทสลา และวิศวกรจากบริษัทสเปซเอ็กซ์ ได้สร้างเรือดำน้ำขนาดเล็กและส่งไปที่ประเทศไทยเพื่อช่วยในการกู้ชีพ แต่ทว่าอุปกรณ์ดังกล่าวนั้นไม่ถูกใช้งาน และนายอันส์เวิร์ธก็เรียกว่าเป็นการ “สร้างข่าวประชาสัมพันธ์”
หลังจากนั้นนายมัสก์ก็กล่าวหานายอันส์เวิร์ธว่าย้ายไปที่ประเทศไทยเพื่ออยู่กับเจ้าสาวคนหนึ่งซึ่งมีอายุประมาณ 12 ปี
สำนวนฟ้องได้กล่าวหาว่านายมัสก์ ซึ่งดูราวกับว่าโกรธขึ้งจากถ้อยคำของนายอันส์เวิร์ธ และได้เริ่มรณรงค์เพื่อทำลายชื่อเสียงของเขา “โดยการเผยแพร่ข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จและน่ารังเกียจด้านอาชญากรรมสู่สาธารณะ”
ในการทวีตเป็นชุดๆ เมื่อวันที่ 15 ก.ค. นายมัสก์ผู้ซึ่งไปส่งมอบเรือดำน้ำด้วยตัวเองที่ถ้ำ ได้เขียนว่าเขาไม่เคยพบกับนายอันส์เวิร์ธและท้าให้(นายอันส์เวิร์ธ)นั้นแสดงวิดิโอของการกู้ชีพในระยะสุดท้าย
“เสียใจด้วยนะ คนใคร่เด็ก คุณหาเรื่องเอง” เขาทวีต โดยหลังจากนั้นเขาก็เขียนผ่านทวิตเตอร์อีกว่า: พนันกันหนึ่งดอลลาร์เลยว่ามันเป็นความจริง”
สำนวนฟ้องยังกล่าวหาว่า หลังจากนั้นเขาก็ลบทวีตต่างๆ และขออภัยหลังจากที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยผู้ถือหุ้น โดยเขาแถลงผ่านทวีตหนึ่งว่า คำพูดของเขานั้น “พูดออกไปในขณะที่โกรธ” และเรือดำน้ำนั้นก็สร้างขึ้นจากความกรุณา ตามข้อกำหนดต่างๆ จากหัวหน้าทีมประดาน้ำ
Elon Musk's sent a "tiny kid-sized submarine" to help rescue the Thai boys trapped in a cave. (AAP) Source: AAP
แต่เมื่อวันที่ 28 ส.ค. นายมัสก์ก็ทวีตอีกครั้งโดยเขียนว่า: “คุณไม่คิดว่ามันแปลกประหลาดหรือ ที่เขายังไม่ฟ้องผมสักที? โดยเขานั้นได้รับคำปรึกษาทางกฎหมายฟรีๆ”
สำนวนฟ้องกล่าวว่า ด้วยการทวีตครั้งดังกล่าว นายมัสก์พยายามจะบอกกับผู้อ่านโดยทั่วๆ ไปว่าการที่นายอันส์เวิร์ธไม่ฟ้องร้อง ณ เวลานั้น เป็นหลักฐานว่าเขาเป็นคนใคร่เด็ก
โดยอ้างอิงจากสำนวนฟ้อง ซึ่งมีความยาว 65 หน้ากระดาษพร้อมด้วยตัวอย่างต่างๆ เป็นเวลาสองวันหลังจากการทวีตเมื่อวันที่ 28 ส.ค. นายมัสก์ได้ส่งอีเมล์ให้กับผู้สื่อข่าวของบัซฟีดนิวส์ โดยเสนอแนะให้ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวสืบสวนนายอันส์เวิร์ธ และ “เลิกปกป้องผู้ที่ขมขืนเด็ก”
ตามสำนวนฟ้อง นายมัสก์เขียนว่า “เขาเป็นชายโสดอายุมากผิวขาวจากประเทศอังกฤษ ผู้ซึ่งเดินทางมาหรืออยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลา 30-40 ปี” โดยเสริมว่า นายอันส์เวิร์ธนั้นย้ายไปอยู่ประเทศไทย “เพื่อเจ้าสาวเด็ก ซึ่งอายุได้ 12 ปีในขณะนั้น”
ในอีเมล์ที่สองถึงบัซฟีด เขากล่าวหานายอันส์เวิร์ธว่าเป็นคนโกหก และกล่าวว่าเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งทีมประดาน้ำในถ้ำ
สำนวนฟ้องระบุว่า “นายอันส์เวิร์ธไม่ใช่คนใคร่เด็ก นายอันส์เวิร์ธไม่เคยมีส่วนร่วมในกิจกรรมใคร่เด็ก นายอันส์เวิร์ธไม่ใช่คนที่ข่มขืนเด็ก” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า นายอันส์เวิร์ธนั้นไม่เคยสมรสกับผู้เยาว์
ตามสำนวนฟ้อง เอกสารได้ชี้แจงว่าเขา(นายอันส์เวิร์ธ)มี “คนสำคัญของเขา” ที่ประเทศไทยเป็นสตรีอายุ 40 ปีคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่บ้านหลังเดียวกัน เขาเริ่มเดินทางไปประเทศไทยในปี ค.ศ. 2011 โดยเขาได้ไปสำรวจและทำแผนที่ถ้ำต่างๆ
สำนวนยังอธิบายถึงบทบาทของนายอันส์เวิร์ธในการกู้ชีพ โดยกล่าววว่าวันที่ 23 มิ.ย. เมื่อเด็กๆ นั้นติด(อยู่ในถ้ำ) เจ้าหน้าที่ของไทยได้โทรศัพท์มาและขอให้เขานั้นไปที่ถ้ำโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขานักกู้ชีพเป็นชาวต่างชาติคนแรกที่เดินทางมาถึง
เขาแนะนำรัฐบาลไทยให้ขอความช่วยเหลือจากนักประดาน้ำในประเทศอังกฤษ และยังโทรศัพท์เรียกเพื่อนและนักประดาน้ำด้วยกันอีกคนคือ นายร็อบ ฮาร์เปอร์
นายฮาร์เปอร์ซึ่งเพิ่งกลับจากการสำรวจถ้ำในประเทศไทยกับนายอันส์เวิร์ธ ได้พานักประดาน้ำอีกสองคน นายจอห์น โวลานเทน และนายริค สแตนตัน มาเพื่อช่วยในการกู้ชีพ
สำนวนสรุปว่า นายอันส์เวิร์ธไม่ได้มีส่วนร่วมในการวางแผนระยะสุดท้ายของการกู้ชีพ เพราะเขาไม่มีประสบการณ์เพียงพอที่จะดำน้ำในลักษณะดังกล่าว
เรื่องราวที่น่าสนใจจากเอสบีเอสไทย
มอบเหรียญเกียรติยศ จนท.ออสเตรเลียร่วมปฏิบัติการถ้ำหลวง
