เขาถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมโดยครอบครัวหนึ่งในรัฐควีนส์แลนด์เมื่ออายุได้หกปี และหลังจากนั้นก็ได้รับการออกเล่มหนังสือเดินทางของประเทศออสเตรเลีย โดยนายเอดเวิร์ด แมคฮิวไม่เคยคิดว่าเขานั้นไม่ใช่ชาวออสเตรเลีย
แต่ชายอายุ 50 ปีคนดังกล่าวซึ่งเกิดบนหมู่เกาะคุก (Cook Islands) กำลังเผชิญกับการเนรเทศและการพรากจากลูกๆ ของเขาจำนวนเจ็ดคน หลังจากที่รัฐบาลออสเตรเลียได้เพิกถอนหนังสือเดินทางของเขาและบอกกับเขาว่าเขานั้นไม่เคยได้รับสัญชาติมาก่อน
“ผมเติบโตขึ้นที่เมืองทูวูมบา ทั้งพ่อและแม่นั้นเป็นชาวออสซี พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างให้ผม[ได้ถือสัญชาติ] ... ผมคิดว่าผมเป็นชาวออสเตรเลีย” นายแมคฮิวกล่าวกับเอสบีเอสนิวส์
แต่นายแมคฮิวก็ค้นพบว่าความเข้าใจดังกล่าวนั้นไม่ตรงกับที่เป็น เมื่อเขาได้รับการแจ้งในปีนี้ว่า เขาจะถูกเนรเทศโดยมีเหตุผลจากลักษณะนิสัยของเขา ภายใต้มาตรา 501 ของพระราชบัญญัติตรวจคนเข้าเมือง เนื่องจากการถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาชญากรรม
นายเอดเวิร์ด แมคฮิว และครอบครัวเมื่ิอปี ค.ศ. 2000 (supplied) Source: Supplied
นายแมคฮิวถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัสและการขู่ว่าจะฆ่าบุคคลหนึ่ง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้ และถูกตัดสินด้วยโทษจำคุกเป็นเวลาเก้าเดือน
เขากล่าวว่า เขาเชื่อว่าการชดใช้ความผิดตามกำหนดแล้วนั้นจะทำให้เขาไม่สมควรที่จะถูกเนรเทศออกนอกประเทศเนื่องจาก “ความผิดพลาดครั้งเดียว”
ขณะนี้นายแมคฮิวถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศูนย์พักสำหรับส่งตัวด้านการตรวจคนเข้าเมืองของนครบริสเบน (Brisbane Immigration Transit Accommodation Centre) และกำลังรอคอยการเนรเทศไปยังประเทศนิวซีแลนด์ โดยที่ชายเกาะคุกทุกคนนั้นมีสัญชาตินิวซีแลนด์
เขาก็จะเป็นบุคคลหนึ่งของชาวนิวซีแลนด์จำนวนกว่า 1,000 คนซึ่งมีประวัติอาชญากรรม ที่ถูกเนรเทศจากประเทศออสเตรเลียในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาหลังจากที่ชดใช้โทษในเรือนจำแล้ว แต่กรณีของนายแมคฮิวนั้นไม่ธรรมดาเนื่องจากเพียงเมื่อปีที่แล้วเท่านั้น เขาได้ยื่นสมัครเพื่อขอหนังสือเดินทางของประเทศออสเตรเลียและก็ได้รับการอนุมัติ - โดยหนังสือเดินทางของเขานั้นระบุอย่างชัดเจนว่าสัญชาติขอบเขานั้นคือชาว “ออสเตรเลีย”
ซึ่งครั้งนั้นก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ขอมีหนังสือเดินทาง
“มันค่อนข้างน่าฉงน ผมเป็นชาวออสเตรเลียจนกระทั่งพวกเขาต้องการที่จะเตะผมออก” เขากล่าว
McHugh successfully applied for an Australian passport last year. Source: Supplied
โดยขณะนี้เขากำลังท้าทายคำสั่งเนรเทศดังกล่าว
กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งกับนายแมคฮิวในปีนี้ว่า เขาไม่เคยยื่นขอสัญชาติเนื่องจากการสืบสกุลมาก่อน และการที่เขาถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นบุคคลสัญชาติออสเตรเลีย เพราะว่ามันเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย
จดหมายจากกระทรวงฯ เขียนว่า “สูติบัตรจากรัฐควีนส์แลนด์ [ที่ออกให้เขาย้อนหลัง หลังจากการรับเป็นบุตรบุญธรรม] ระบุวันที่จดทะเบียนเป็นวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1976 ซึ่งการได้วีซ่าอัตโนมัติจากการถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมนั้นไม่ได้มีผลบังคับจนกระทั่งวันที่ 22 พฤศจิกายน 1984 ดังนั้นคุณจึงไม่ได้กลายเป็นบุคคลสัญชาติออสเตรเลียโดยอัตโนมัติผ่านทางการรับเป็นบุตรบุญธรรม”
แต่จนถึงขณะนี้ ทางกระทรวงฯ ก็ยังไม่มีคำอธิบายว่าเพราะเหตุใด นายแมคฮิวจึงสามารถที่จะใช้สูติบัตรจากรัฐควีนส์แลนด์และเอกสารการเป็นบุตรบุญธรรมของเขาเพื่อยื่นขอหนังสือเดินทางของออสเตรเลียได้โดยสำเร็จ
หากอ้างอิงจากทางกระทรวงฯ นายแมคฮิวได้ถือวีซ่าสำหรับบุคคลซึ่งได้รับการซึมซับ (Absorbed person visa) ซึ่งทางกระทรวงฯ กล่าวว่า (วีซ่าดังกล่าว)ได้ถูกเพิกถอนไปแล้ว หลังจากที่เขาได้รับโทษจำคุก
“หนังสือเดินทางออสเตรเลียนั้นไม่ใช่หลักฐานทางสัญชาติของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง” ทางกระทรวงฯ กล่าว โดยระบุว่าเคยมีการออกหนังสือเดินทางให้กับบุคคลซึ่งมิได้ถือสัญชาติ จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเมื่อปี 2005
“หนังสือเดินทางออสเตรเลียนั้นไม่ใช่หลักฐานทางสัญชาติของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง" - กระทรวงมหาดไทย
นางมารี เอลเลียต ตัวแทนด้านการตรวจคนเข้าเมืองอาวุโสจากบริการด้านการตรวจคนเข้าเมืองโฮลต์ เดอรัม (Holt Durham Migration Services) ในนครบริสเบนกล่าวว่า กรณีที่ใครคนหนึ่งได้รับการออกหนังสือเดินทางแม้จะไม่ใช่พลเมืองนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อย และดูราวกับว่าจะเป็นความผิดพลาดของทางกระทรวงฯ
“ดิฉันเคยได้ยินเพียงครั้งเดียวก่อนหน้านี้ ว่ามีคนได้รับหนังสือเดินทางเนื่องจากความผิดพลาด ในระยะเวลาทำงาน 25 ปี” เธอกล่าว
บิดาของนายแมคฮิว นายเควิน เป็นเกษตรกรอยู่ที่เมืองทูวูมบา เขากล่าวว่า เขานั้นหัวใจสลายและรู้สึกช็อคเมื่อทราบว่าบุตรชายของเขานั้นไม่ใช่พลเมือง แม้เวลาจะผ่านมาหลายต่อหลายปี
โดยทางครอบครัวนั้นไม่เคยดำเนินการที่จะให้เขานั้นได้สัญชาติออสเตรเลีย เพราะพวกเขาทึกทักว่าเขาจะได้รับสัญชาติจากการถูกรับเป็นบุตรบุญธรรม
“หากเขากลับไปยังประเทศนิวซีแลนด์ เขาจะไปที่ไหนล่ะ?” เขาไม่เคยอยู่ที่นั่นตั้งแต่เขาอายุหก [ปี] เขาไม่รู้จักใครเลย” เขากล่าวกับเอสบีเอสนิวส์
นายรอด ฮอดจ์สัน หุ้นส่วนจากสำนักงานทนายความมอรีซแบล็คเบิร์นกล่าวกับเอสบีเอสนิวส์ว่า กฎหมายเกี่ยวกับการเนรเทศบุคคลต่างด้าวเนื่องจากการกระทำความผิดทางอาญานั้น “เป็นการลงโทษที่หนักมืออย่างที่สุด”
Edward McHugh with three of his children. Source: Supplied
“การเนรเทศใครสักคนซึ่งได้อยู่อาศัยและทำงานในประเทศออสเตรเลียมาตลอดชีวิต ในฐานะของชาวออสเตรเลียคนหนึ่งนั้น เป็นการลงโทษเขาซ้ำสอง” เขากล่าว
นายแมคฮิวกล่าวว่า การถูกเนรเทศนั้นจะเป็นการทำให้ครอบครัวและลูกๆ ของเขาซึ่งมีอายุตั้งแต่ 10 ถึง 28 ปีนั้นหัวใจแหลกสลาย
“ผมจะต้องอยู่ที่นี่เพื่อลูกๆ และหลานๆ ของผม พวกเขาถามหาผมทุกๆ วันเพราะพวกเขาเคยชินกับการเห็นหน้าผม” เขากล่าว
“ผมจะต้องอยู่ที่นี่เพื่อลูกๆ และหลานๆ ของผม พวกเขาถามหาผมทุกๆ วันเพราะพวกเขาเคยชินกับการเห็นหน้าผม” - เอดเวิร์ด แมคฮิว
โฆษกของกระทรวงมหาดไทยกล่าวกับเอสบีเอสนิวส์ผ่านแถลงการณ์ดังนี้: “แม้ว่าทางกระทรวงฯ จะไม่สามารถแสดงความคิดเห็นต่อกรณีต่างๆ ในแต่ละรายได้ รัฐบาลออสเตรเลียนั้นตระหนักอย่างจริงจังถึงความรับผิดชอบต่อการปกป้องชุมชนจากชาวต่างด้าวซึ่งเลือกที่จะมีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางอาชญากรรม”
โดยทางกระทรวงฯ กล่าวว่า ประเด็นเรื่องหนังสือเดินทางนั้นควรจะสอบถามไปยังกระทรวงการต่างประเทศและพาณิชย์ (Department of Foreign Affairs and Trade หรือ DFAT)
DFAT กล่าวกับเอสบีเอสนิวส์ว่าจะมีการออกหนังสือเดินทางให้กับผู้คนก็ต่อเมื่อทางกระทรวงฯ นั้นพึงพอใจแล้วว่าเป็นพลเมืองชาวออสเตรเลีย
“กฎหมายสัญชาตินั้นซับซ้อน โดยนานๆ ครั้ง มันสามารถเกิดขึ้นได้ที่ทาง DFAT ออกหนังสือเดินทางให้ไปตามพยานหลักฐานที่ทางกระทรวงฯ นั้นประเมินอย่างผิดพลาดว่าเป็นการยืนยันสัญชาติออสเตรเลีย” โฆษกของกระทรวงฯ คนหนึ่งกล่าว
โฆษกคนดังกล่าวยังเสริมว่า “ในทันทีที่ทางกระทรวงมหาดไทยได้ยืนยันมาว่าบุคคลใดก็ตามนั้นไม่ใช่ (หรือไม่ได้ถือ) สัญชาติออสเตรเลียอีกต่อไป หนังสือเดินทางออสเตรเลียซึ่งบุคคลนั้นครอบครองอยู่ก็จะถูกยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ”
ติดตามฟังรายการ เอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ ทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดี เวลา 22.00 น.
เรื่องราวที่น่าสนใจจาก เอสบีเอส ไทย
แซ่บอีหลีที่อลิซสปริงส์
