จากดราม่าในหมู่คนไทยในออสเตรเลีย และลามไปถึงคนไทยในไทยเอง เรื่องค่าขั้นต่ำ “ยืนปั้มแก้ว ได้ชั่วโมงละ 600 บาท ยืนเด็ดผักได้ชั่วโมงเท่านี้บาท”
ว่าแต่กว่าที่ออสเตรเลียจะมีค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขนาดนี้ (สูงติด 5 อันดับแรกของประเทศในกลุ่ม OECD) มันมีที่มาอย่างไร
ปัจจุบัน (ข้อมูลวันที่ 1 กรกฎาคม 2024) ตัวเลขค่าแรงขั้นต่ำขอองออสเตรเลีย เพิ่มขึ้นจากเดิม 23.23 ดอลลาร์ เป็น 24.10 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง
อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติม
ได้เฮอีก! ค่าแรงขั้นต่ำออสเตรเลียปรับขึ้นอีก นี่คือรายละเอียดว่าเพิ่มขึ้นเท่าไหร่
เอสบีเอสไทยจะพาย้อนกลับไปดูเส้นทางการต่อสู้พัฒนาค่าแรงขั้นต่ำของออสเตรเลีย ที่มีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปกว่า 100 ปี ร้อมๆ กันนี้ อยากขอชวนผู้อ่านค่อยๆ สำรวจค่าครองชีพในปัจจุบัน ท่ามกลางวิกฤตที่ชวนหัวจะปวด
ย้อนเวลาการต่อสู้เพื่อค่าแรงเป็นธรรมในออสเตรเลีย
อ้างอิงจากข้อมูลของ Fairwork ระบุว่า ต้นกำเนิดของระบบค่าจ้างขั้นต่ำของออสเตรเลียนั้นเกิดจากแรงกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น สภาพการทำงานที่ย่ำแย่ ความไม่สงบทางสังคม และความท้าทายทางเศรษฐกิจ
ซึ่งแรงกดดันทางตรงมาจาก การเรียกร้องโดยกลุ่ม Victorian Anti-Sweating League บวกกับการสอบสวนของรัฐสภาได้นำไปสู่การออกพระราชบัญญัติโรงงานและร้านค้าในปี 1896 ซึ่งกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำล่วงหน้า
ส่วนทางอ้อมก็คือ การหยุดงานประท้วงในช่วงทศวรรษ 1890 และความไม่มั่นคงทางสังคมได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของศาลอุตสาหกรรมในการแก้ไขข้อพิพาท ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งศาลดังกล่าวขึ้นทั่วออสเตรเลีย ศาลเหล่านี้กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นการวางรากฐานสำหรับการคุ้มครองค่าจ้างที่กว้างขึ้นของออสเตรเลีย
There are 1.8 million temporary migrant workers in Australia, including international students, working holiday makers, skilled temporary residents, New Zealand citizens and seasonal workers. Source: SBS
ต่อมาในปี 1907 การตัดสินใจเรื่อง Harvester ถือเป็นจุดเปลี่ยน โดยได้กำหนด "ค่าจ้างพื้นฐาน" ไว้ที่ 7 ชิลลิงต่อวันสำหรับคนงานไร้ฝีมือ ซึ่งคำนวณให้ครอบคลุม "ความต้องการพื้นฐาน" ของครอบครัว ค่าจ้างนี้ได้รับการปรับตามอัตราเงินเฟ้อในช่วงเวลาหนึ่ง และในช่วงทศวรรษปี 1920 ค่าจ้างนี้ก็กลายมาเป็น "ค่าจ้างพื้นฐาน" มาตรฐานทั่วออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม ระบบค่าจ้างยังต้องสมดุลระหว่างความต้องการของคนงานกับความสามารถในการจ่ายของอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นความตึงเครียดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเรื่องค่าจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ เช่น ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (the Great Depression)
Source: SBS / Dateline
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อัตราค่าจ้างดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 75% แต่ในปี 1972 คณะกรรมการความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรมได้ตัดสินใจว่าผู้ชายและผู้หญิงควรได้รับค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากัน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสู่ความเท่าเทียมกันของค่าจ้าง
กฎหมายและคำตัดสินเกี่ยวกับค่าจ้างในช่วงแรกๆ เหล่านี้ได้วางรากฐานให้กับระบบค่าจ้างขั้นต่ำสมัยใหม่ของออสเตรเลีย โดยให้การคุ้มครองที่จำเป็นแก่คนงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ขณะเดียวกันก็สร้างสมดุลให้กับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจที่นายจ้างต้องเผชิญ
เทียบระบบค่าจ้างขั้นต่ำในออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร
การจัดระบบค่าจ้างขั้นต่ำพัฒนาขึ้นตามปัจจัยในท้องถิ่น ส่งผลให้แต่ละประเทศมีแนวทางที่แตกต่างกัน
ออสเตรเลียกำหนดระบบค่าจ้างขั้นต่ำในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยใช้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ (มาตรา 51(xxxv) ของรัฐธรรมนูญ) ซึ่งอนุญาตให้คณะกรรมการค่าจ้างและศาลแรงงานอิสระกำหนดและปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นประจำ ระบบนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยพัฒนาจาก "ค่าจ้างพื้นฐาน" ไปเป็นค่าจ้างขั้นต่ำสากล และปัจจุบันทำหน้าที่เป็น " safety net" ในบริบทของการต่อรองขององค์กร ระบบของออสเตรเลียมีลักษณะเฉพาะคือการใช้ศาลแรงงานเพื่อกำหนดระดับค่าจ้าง โดยเน้นที่ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสวัสดิการของคนงาน
การจัดตั้งและรักษาระบบค่าจ้างขั้นต่ำของออสเตรเลียโดยศาลอุตสาหกรรมอิสระถือเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของออสเตรเลีย และเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศออสเตรเลียแตกต่างจากสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร Source: AAP
ในช่วงแรก สหราชอาณาจักรใช้คณะกรรมการการค้าที่จัดตั้งโดยรัฐบาลเสรีนิยมในปี 1909 เพื่อแก้ไขปัญหาการเอารัดเอาเปรียบ (การทำงานหนัก) และเพื่อเติมเต็มช่องว่างในการเจรจาต่อรองร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ค่าจ้างขั้นต่ำยังคงเป็นกลไกที่จำกัดจนกระทั่งในปี 1993 เมื่อพรรคอนุรักษ์นิยมได้ยกเลิกกฎระเบียบค่าจ้างขั้นต่ำส่วนใหญ่ ในปี 1998 รัฐบาลแรงงานภายใต้การนำของโทนี่ แบลร์ ได้แนะนำค่าจ้างขั้นต่ำแห่งชาติ ซึ่งต่อมาก็ได้ขยายเป็น "ค่าครองชีพ" โดยมีเป้าหมายที่จะปรับขึ้นค่าจ้างเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้เฉลี่ย ปัจจุบัน พรรคการเมืองหลักทั้งสองพรรคในสหราชอาณาจักรสนับสนุนค่าจ้างขั้นต่ำที่ค่อนข้างสูง ซึ่งสะท้อนถึงฉันทามติของทั้งสองพรรคเกี่ยวกับความจำเป็นในการคุ้มครองค่าจ้าง
ในทางตรงกันข้าม สหรัฐอเมริกาเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญในการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ คำตัดสินของศาลฎีกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 รวมถึงคำตัดสิน West Coast Hotel Co v. Parrish ในปี 1937 ได้จำกัดกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาลกลางอย่างรุนแรงจนกระทั่งมีการปฏิรูปในเวลาต่อมา หลังจากทศวรรษปี 1940 การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาลกลางเป็นแบบเพิ่มขึ้น โดยมักได้รับอิทธิพลจากการแลกเปลี่ยนทางการเมือง และโดยในการบริหารของรัฐบาลเรแกน ค่าจ้างขั้นต่ำแทบจะไม่มีประสิทธิผลเลย ส่งผลให้การรณรงค์ระดับรากหญ้าเพื่อเรียกร้อง "ค่าจ้างขั้นต่ำที่พอเลี้ยงชีพ" นำไปสู่การออกกฎหมายค่าจ้างระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น แม้ว่าค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาลกลางจะไม่สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อหรือค่าครองชีพก็ตาม
ความแข็งแกร่งของระบบค่าจ้างของออสเตรเลีย
โดยสรุปแล้ว ออสเตรเลียยังคงใช้ระบบค่าจ้างขั้นต่ำที่สม่ำเสมอและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยมีข้อกำหนดตามกฎหมายและศาลแรงงานรองรับ ในทางกลับกัน สหราชอาณาจักรเปลี่ยนจากระบบคณะกรรมการการค้าที่มีข้อจำกัดเป็นระบบค่าจ้างขั้นต่ำระดับประเทศ จากนั้นจึงใช้แนวทางค่าจ้างขั้นต่ำที่พอเลี้ยงชีพ สหรัฐอเมริกาเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมายและการเมืองที่สำคัญ ส่งผลให้ระบบแตกแขนงออกไป โดยรัฐบาลกลางไม่ดำเนินการใดๆ และต้องพึ่งพาแคมเปญค่าจ้างขั้นต่ำระดับท้องถิ่น แม้จะมีความแตกต่างเหล่านี้ ออสเตรเลียและสหราชอาณาจักรก็ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงค่าจ้างขั้นต่ำกับมาตรฐานการครองชีพมากกว่า ในขณะที่ระบบของสหรัฐอเมริกามักถูกจำกัดด้วยอุปสรรคทางการเมืองและกฎหมาย
(File: AAP)
Source: SBS
การจัดตั้งระบบค่าจ้างขั้นต่ำเป็นการตัดสินใจสำคัญของเครือจักรภพออสเตรเลียในช่วงแรกหลังจากสหพันธรัฐในปี 1901 การตัดสินของศาลในการลดค่าจ้างขั้นต่ำเป็นส่วนหนึ่งของการตอบสนองของออสเตรเลียต่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ในขณะที่การสั่งปรับขึ้นค่าจ้างของศาลมีบทบาทในระหว่างการฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการฟื้นตัวหลังสงคราม การตัดสินใจของคณะกรรมาธิการเกี่ยวกับค่าจ้างขั้นต่ำมุ่งเป้าไปที่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษ 1970 และส่งเสริมการปฏิรูปค่าแรงตามอัตราเฉพาะอุตสาหกรรม (award rate) และสถานที่ทำงานในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990
เป็นเวลา 100 กว่าปีแล้วที่ค่าจ้างขั้นต่ำเป็นการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับนายจ้างและลูกจ้าง ทั้งค่าแรงงานของนายจ้างและมาตรฐานการครองชีพของลูกจ้าง โดยคำนึงถึงสถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
ชั่วโมงการทำงานและข้อจำกัดของวีซ่า
หนึ่งในกลุ่มคนไทยที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลียกลุ่มใหญ่คือ ‘นักเรียน’ จากสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติอออสเตรเลีย (ABS) ปัจจุบันมีนักเรียนไทยที่เข้ามาศึกษาต่อในออสเตรเลียคิดเป็นประมาณร้อยละ 10 หรืออยู่ในลำดับที่7 ของจำนวนนักเรียนต่างชาติทั้งหมด
ซึ่งแน่นอนว่าหากคุณถือวีซ่านักเรียน มันก็จะมาพร้อมชั่วโมงการทำงานที่จำกัดซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 48 ชั่วโมง/2สัปดาห์
ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจของออสเตรเลียในปัจจุบัน ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่ากินอยู่ รวมถึงค่าเทอม (หากคุณเป็นนักเรียน) นี่ยังไม่นับรวมบางคนที่ต้องหาเงินส่งกลับบ้านที่ไทยอีกด้วย
อ่านเรื่องนี้
นักเรียนไทยปรับตัวอย่างไรกับการจำกัดชั่วโมงทำงาน
ก่อนหน้านี้เอสบีเอสไทยเคยออกสำรวจสภาพความเป็นอยู่ของนักเรียนไทย และการเอาตัวรอดท่ามกลางวิกฤติเหล่านี้ เราค้นพบว่า มีบางคนต้องทำงานที่รับเงินสดเพื่อให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (หมายเหตุ* เนื้อหาในบทสัมภาษณ์สะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เอสบีเอส ไทย มิได้ต้องการส่งเสริมการกระทำผิดกฎหมายใด ๆ ขอให้ผู้อ่านและผู้ฟังโปรดใช้วิจารณญาณและเปิดใจรับฟังถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจริงในออสเตรเลีย)
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากมองผ่านแว่นของค่าแรงขั้นต่ำของไทย ที่ชะงักมากว่าทศวรรษ เราจะรู้สึกว่า “หูยยย..ทำงานที่ออสเตรเลียได้เยอะจังเลย” ทว่าหากมองกันผ่านแว่นความเป็นจริงของเศรษฐกิจ และค่าครองชีพในปัจจุบันของที่นี่ เราคงเห็นภาพอีกด้าน จริงอยู่ที่ค่าแรงขั้นต่ำของออสเตรเลียสูง แต่ก็ตามมาด้วยค่าครองชีพที่สูงตามเป็นเงา ถึงขนาดที่ว่าสิ่งนี้เป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลพรรคแรงงานที่ต้องรีบแก้ก่อนการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในกลางปีหน้านี้ เพราะคนออสซี่เองก็เริ่มไม่ไหวกับวิกฤตครั้งนี้แล้ว