ผู้ถือวีซ่าเวิร์กกิงฮอลิเดย์ ซึ่งทำงานที่ให้ค่าตอบแทนต่ำ เช่น งานเก็บผลผลิตในฟาร์ม จะสามารถได้รับเงินช่วยเหลือผู้ว่างงานได้ ภายใต้แผนของคณะกรรมาธิการสภา ในการปรับปรุงวีซ่าเวิร์กกิงฮอลิเดย์
คณะกรรมาธิการร่วมสามัญด้านการอพยพย้ายถิ่นฐาน (The Joint Standing Committee on Migration) ได้เปิดเผยรายงานฉบับล่าสุด เกี่ยวกับการปรับปรุงโครงการวีซ่าเวิร์กกิงฮอลิเดย์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (30 พ.ย.)
โดยรายงานดังกล่าว ซึ่งจัดทำขึ้น เนื่องด้วยผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน ในช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนา ได้มีการเรียกร้องให้แรงงานผู้ถือวีซ่าดังกล่าว ซึ่งทำงานที่ให้ค่าตอบแทนน้อย เช่น งานในฟาร์ม ยังคงได้รับเงินสงเคราะห์ค่าจ้างจ็อบซีกเกอร์ (JobSeeker) ได้ต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้แนะนำให้ขยายช่วงอายุสำหรับโครงการวีซ่าดังกล่าวไปยังผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 หรือ 35 ปีขึ้นไป ที่กำลังรอการอนุมัติวีซ่าหรือได้รับอนุมัติวีซ่าก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
ขณะที่ประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อไวรัสโคโรนาต่ำ ควรได้รับการจัดลำดับความสำคัญในส่วนของการพิจารณาแบบรายประเทศ และยังได้แนะนำให้รัฐบาลพิจารณาประเทศที่มีการยื่นขอวีซ่าเป็นจำนวนมาก ในการอนุมัติวีซ่าเพื่อให้เข้าทำงานที่ต้องการแรงงานจำนวนมาก
รายงานดังกล่าวยังได้แนะนำโครงการสปอนเซอร์สำหรับองค์กรตัวแทน ภาคธุรกิจ หรือรัฐบาล ในการออกค่าใช้จ่ายสำหรับการกักโรคของผู้ที่เดินทางมาด้วยวีซ่าเวิร์กกิงฮอลิเดย์
คณะกรรมาธิการได้แนะนำว่า ในช่วงเวลาอีก 12 เดือนข้างหน้า นักศึกษาต่างชาติควรได้รับข้อเสนอเป็นวีซ่าสำหรับผู้สำเร็จการศึกษา (Graduate visa) แลกกับการทำงานในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
นักศึกษาต่างชาติควรได้รับเงิน หรือการสนับสนุนที่พักอาศัยและการเดินทาง ในการไปทำงานในพื้นที่ห่างไกล และสำหรับผู้ถือวีซ่าในทักษะที่มีความขาดแคลน รวมถึงผู้ถือใบอนุญาตทำงานชั่วคราวอื่น ๆ ที่ตกงาน ควรที่จะสามารถทำงานในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบได้ โดยไม่ต้องได้รับการสปอนเซอร์ในช่วงปีหน้า ในขณะเดียวกัน ชั่วโมงในการทำงานก็ควรที่จะได้รับการนับรวม เพื่อนำไปประกอบเงื่อนไขเพื่อต่อวีซ่า หรือเพื่อเป็นเส้นทางสู่การได้เป็นผู้อาศัยถาวรในออสเตรเลีย
รายงานดังกล่าว ระบุว่า รัฐบาลสหพันธรัฐควรทำงานรวมกับรัฐและมณฑลต่าง ๆ รวมถึงองค์กรตัวแทนจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในการจ้างงานผู้ที่อยู่ในโครงการแรงงานจากหมู่เกาะแปซิฟิก ในการเติมเต็มตำแหน่งงานที่ขาดแคลนในภาคการเกษตรกรรม
นอกจากนี้ ยังได้แนะนำให้มีการจัดประเภทใหม่ของ “พื้นที่ส่วนภูมิภาค (regional)” ให้เป็นลำดับชั้นที่ประกอบด้วย เมืองหลวงของรัฐขนาดเล็ก (smaller state capital cities) เมืองส่วนภูมิภาค (regional cities) พื้นที่ระหว่างเมืองและพื้นที่ชานเมือง (peri-urban area) เมืองขนาดเล็ก (small towns) และพื้นที่ห่างไกล (remote areas)
นายมาร์ค โมเรย์ (Mark Morey) เลขาธิการสหภาพแรงงานรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการได้พลาดโอกาสในการขจัดการเอารัดเอาเปรียบที่เกิดขึ้นในภาคเกษตรกรรม
“ปัญหาหลักในใจกลางของโครงการนี้นั้น คืออำนาจทั้งหมดอยู่ที่นายจ้าง ในการที่จะเซ็นว่าคนทำงานเวิร์กกิงฮอลิเดย์คนไหนที่ทำงานตามชั่วโมงที่กำหนดไว้ เพื่อที่จะได้รับการต่อวีซ่าได้ สิ่งนี้ได้สร้างความเอนเอียงเป็นอย่างมาก ทำให้คนทำงานเหล่านั้นตกอยู่ในความเสี่ยงของการถูกเอารัดเอาเปรียบ” นายโมเรย์ กล่าว
นายโมเรย์ กล่าวอีกว่า รายงานของคณะกรรมาธิการนั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นมากนัก
“อันที่จริงแล้ว วีซ่าเหล่านี้ควรถูกยกเลิกไปเสียที หากภาคเกษตรกรรมจ่ายค่าจ้างให้ชาวออสเตรเลียไม่ได้ ก็คงต้องคิดทบทวนเรื่องเศรษฐศาสตร์กันใหม่หมดแล้ว ไม่มีอุตสาหกรรมไหนมีสิทธิ์ในการประหยัดเงินด้วยการเอาเปรียบแรงงาน และจ่ายค่าจ้างราคาถูก” นายโมเรย์ กล่าว
เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจจาก เอสบีเอส ไทย
รัฐฯ หนุนเปลี่ยนกฎวีซ่าครอบครัวไม่ต้องออกนอกประเทศภายในปีหน้า