กดปุ่ม 🔊ที่ภาพด้านบนเพื่อฟังรายงาน
คุณซัดดัม ฮุสเซน เป็นหนึ่งในคนแนวหน้า ในการต่อสู้การแพร่ระบาดของไวรัสนี้ในเมลเบิร์น นักศึกษาต่างชาติจากประเทศเนปาลในนครเมลเบิร์นคนนี้ กำลังศึกษาอยู่ในสาขาวิชาบัญชี เขาทำงานพาร์ทไทม์เป็นพนักงานทำความสะอาดในโรงเรียนแห่งหนึ่งเป็นเวลา 1 ปี เขาเล่าว่า งานของเขามีความเสี่ยง
“พนักงานทำความสะอาดอย่างเรานั้นทำงานของเรา เราต้องต่อสู้กับอุปสรรคมากว่าเดิม และทำให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในความเสี่ยงเพื่อทำความสะอาดทุกสิ่งทุกอย่าง” คุณฮุสเซนกล่าว
แต่หลังจากที่การเรียนการสอนเปลี่ยนจากที่สถานศึกษามาเป็นที่บ้าน คุณฮุสเซนถูกลดจำนวนกะเข้างาน นั่นทำให้ชีวิตของเขาลำบากขึ้น เนื่องจากเขาไม่สามารถเข้าถึงเงินสนับสนุนจากรัฐบาลได้
เรื่องราวของคุณฮุสเซน เป็นสิ่งเดียวกับที่เกิดขึ้นกับคนทำงานหลายคนในแวดวงนี้ ซึ่งพึ่งพาแรงงานจากชุมชนผู้อพยพย้ายถิ่น หลายคนต้องตกงาน เนื่องจากนายจ้างขนาดใหญ่อย่างมหาวิทยาลัย และสำนักงานในย่านซีบีดีตามเมืองต่าง ๆ นั้น แทบจะไม่มีผู้คน
คุณคาร์ลา วิลเชียร์ (Carla Wilshire) จากสภาผู้อพยพย้ายถิ่นแห่งออสเตรเลีย (Migrant Council of Australia) กล่าวว่า กลุ่มบุคคลเหล่านี้กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง
“สำหรับผู้ถือวีซ่าทำงานชั่วคราว ที่ไม่มีคุณสมบัติในการรับเงินช่วยเหลือจากเซนเตอร์ลิงก์ (Centrelink) และไม่สามารถเข้าถึงโครงการเงินช่วยเหลือ JobKeeper และ JobKeeper การสูญเสียรายได้ของพวกเขาอาจส่งผลกระทบอย่างมาก ไม่เพียงแต่ส่งผลกับพวกเขาโดยตรงเพียงอย่างเดียว แต่อาจรวมถึงครอบครัวของพวกเขาด้วย” คุณวิลเชียร์กล่าว
แต่สำหรับภาคอุตสาหกรรม สิ่งนี้ส่งผลกระทบในหลายทาง คนทำงานจำนวนมากต้องยุ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทำให้สถานที่ทำงาน และพื้นที่สาธารณะจำเป็นต้องมีการฆ่าเชื้อเพิ่มมากขึ้น
สำหรับผู้ที่ยังคงมีงานทำ คุณจอร์เจีย พอตเตอร์ บัตเลอร์ (Georgia Potter Butler) จากสหภาพสมาคมแรงงาน (United Workers Union) กล่าวว่า กำลังมีความกังวลเพิ่มมากขึ้นว่า งานของพวกเขาอาจไม่ใช่งานที่มีคุณภาพสูง
“สิ่งที่สำคัญต่อการกลับมาเปิดระบบเศรษฐกิจอีกครั้ง นั่นคือเมื่อผู้คนรู้สึกปลอดภัยในพื้นที่สาธารณะ และผู้คนจะรู้สึกว่าปลอดภัย ถ้าพวกเขารู้ว่าสถานที่เหล่านั้นได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง และในตอนนี้ผู้คนอาจไม่รู้สึกเช่นนั้น เนื่องจากมันมีช่องว่างระหว่างความคาดหวังจากสาธารณะ และสิ่งที่พนักงานทำควาสะอาดสามารถทำได้ เนื่องจากโครงสร้างในระบบสัญญาว่าจ้าง” คุณบัตเลอร์กล่าว
คุณพอร์เตอร์กล่าวว่า เนื่องจากบริการทำความสะอาด ได้รับการมองจากผู้คนส่วนมากว่าเป็นค่าใช้จ่ายเนื่องจากความจำเป็น มากกว่าที่จะลงทุนในส่วนนี้
“พนักงานทำความสะอาดได้รับเสียงปรบมือชื่นชมเป็นจำนวนมาก มีการอภิปรายหลายครั้งถึงความสำคัญของงานทำความสะอาด แต่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยนั้น คือการปกป้องและดูแลพนักงานทำความสะอาด และเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถทำงานได้ตามที่เราต้องการให้พวกเขาทำ”
การสำรวจระดับชาติจากพนักงานทำความสะอาดมากกว่า 500 คน ที่จัดทำสหภาพสมาคมแรงงาน (United Workers Union) พบว่า พนักงานทำความสะอาดร้อยละ 91 ปฏิบัติงานทำความสะอาดที่มีความสำคัญอย่างเร่งรีบ เนื่องจากไม่ได้รับการจัดสรรเวลาทำงานอย่างเพียงพอ ขณะที่พนักงานทำความสะอาด 8 ใน 10 คน พบว่ามีเครื่องมือทำความสะอาดไม่เพียงพออย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่า 3 ใน 4 ระบุว่า พวกเขาไม่ได้รับเครื่องมือป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ในการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย ขณะที่ร้อยละ 70 ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่ได้รับการฝึกงานแบบตัวต่อตัว
นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 77 มีความกังวลว่าจะตกงาน ขณะที่ร้อยละ 86 รายงานว่า พวกเขาไม่ได้รับค่าจ้างตามที่ควรได้รับ
ด้านสหภาพสมาคมแรงงานระบุว่า เหล่านี้คือปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข
“สมการของคุณภาพงานทำความสะอาดนั้นเป็นเรื่องง่าย ฝึกฝนพนักงาน ให้เวลากับพวกเขาในการทำงาน จัดเตรียมเครื่องมือปฏิบัติงานอย่างเพียงพอ และพวกเขาจะมอบงานที่มีคุณภาพให้คุณ แต่ผู้จัดหาพนักงานทำความสะอาดไม่ได้ออกแบบสัญญาว่าจ้างพนักงานให้เป็นเช่นนั้น”
แม้จะฟังดูเป็นเรื่องแย่ แต่ก็ยังมีข่าวดี โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้คาดการณ์ว่า อัตราการจ้างงานสำหรับงานทำความสะอาดนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าในปีหน้า ขณะที่ทั่วโลกกำลังพยายามต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนกว่าจะมีการค้นพบวัคซีนในการรักษาจากไวรัสนี้
ติดตาม เอสบีเอส ไทย ทางเฟซบุ๊กได้ที่
เรื่องราวที่น่าสนใจจาก เอสบีเอส ไทย
คาดคนจะตกงานอีกมากจากล็อกดาวน์ในวิกตอเรีย