ใรายงานฉบับใหม่ที่มีความครอบคลุมจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น พบว่าการแพร่ระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระยะเริ่มต้น มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประชาชนในออสเตรเลียอย่างมาก
จากผลลัพธ์ของการสำรวจด้านพลวัตรครัวเรือน รายได้ และแรงงานในออสเตรเลีย หรือ HILDA พบว่าประชาชนในรัฐวิกตอเรีย โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในนครเมลเบิร์น ได้รับผลกระทบเป็นพิเศษจากมาตรการล็อกดาวน์เมื่อปี 2020
ย่านซีบีดีของนครเมลเบิร์น ระหว่างอยู่ในมาตรการล็อกดาวน์เมื่อวันที่ 18 ก.ค.2021 Source: AAP
ผลลัพธ์จากรายงานการสำรวจด้านพลวัตรครัวเรือน รายได้ และแรงงานในออสเตรเลียหรือ HILDA (Household, Income and Labour Dynamics in Australia Survey) ได้รับการเผยแพร่โดยทีมวิจัยเศรษฐกิจและสังคมประยุกต์ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น
รายงานดังกล่าวแสดงให้ว่า ความเสื่อมโทรมด้านสุขภาพจิตในระยะแรกของการแพร่ระบาดใหญ่มีอยู่มาก โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประชาชนออสเตรเลียที่มีอายุน้อย ระหว่าง 15-34 ปี
ศาสตราจารย์ โรเจอร์ วิลกินส์ (Prof Roger Wilkins) หัวหน้าผู้จัดทำรายงาน HILDA ระบุว่า ผลกระทบที่มีต่อประชาชนนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล
ในปี 2020 เราพบว่าระดับของสุขภาพจิตลดลงเร็วกว่าที่ผ่านมา ซึ่งเกี่ยวข้องอย่างมากกับโควิด โดยเฉพาะเมื่อคุณเห็นว่ารัฐวิกตอเรียและเมลเบิร์นที่ลดลงมากเป็นพิเศษศ.โรเจอร์ วิลกินส์ (Prof Roger Wilkins)
"และในบางครั้ง ระดับความกลัวเชื้อไวรัสก็มีไม่มากเท่ากับผลกระทบจากการล็อกดาวน์” ศาสตราจารย์วิลกินส์ กล่าว
ผลลัพธ์ด้านสุขภาพจิตเหล่านี้ พบว่ามีสาเหตุหลักมาจากการทำงานที่บ้าน และการขาดเครือข่ายการสนับสนุนทางสังคมอย่างสม่ำเสมอ
รายงานของ HILDA ยังได้เน้นย้ำถึงความไม่มั่นคงในตำแหน่งงานที่เพิ่มสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษ มีคนทำงานเกือบ 1 ใน 20 ที่ตกงาน และเกือบ 1 ใน 10 ที่ต้องถูกสั่งให้หยุดงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง
แม้มาตรการล็อกดาวน์ในรัฐวิกตอเรียจะส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนอย่างคาดไม่ถึง แต่ศาสตราจารย์วิลกินส์ กำลังเน้นย้ำถึงนโยบายอื่น ๆ ของรัฐบาล ที่ช่วยลดปัญหาการตกงานเป็นวงกว้าง
“ผมหมายถึง เราพบอัตราการเลิกจ้างในระดับสูงกว่าที่เคยได้เห็นในศตวรรษนี้ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่ามีการตกงานเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในหมู่คนทำงานแคชวลระยะสั้น”
ประชาชนบางส่วนในนครบริสเบน ขณะกำลังต่อแถวเพื่อยื่นคำร้องขอรับเงินสวัสดิการรัฐ ที่หน้าสำนักงานเซนเตอร์ลิงก์ (Centrelink) Source: AAP
แต่เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะการเข้ามาแทรกแทรงของรัฐบาลในเวลานั้น โดยเฉพาะโครงการ Jobkeeper เราก็คงพบเห็นสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ศ.โรเจอร์ วิลกินส์ (Prof Roger Wilkins)
การค้นพบเหล่านี้ ได้ขยายผลไปจนถึงการระบุชี้ความสำเร็จและความล้มเหลวของแผนตอบสนองการแพร่ระบาดใหญ่ของรัฐบาล รายงานดังกล่าวยังได้เน้นย้ำถึงการลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญของความไม่เท่าเทียมในปี 2020 ซึ่งลดลงมากที่สุดในรอบ 20 ปีในประวัติศาสตร์การจัดทำแบบสำรวจนี้
ศาสตราจารย์วิลกินส์ กล่าวอีกว่า การสนับสนุนด้านการเงินจากรัฐบาลออสเตรเลีย เป็นตัวอย่างของนโยบายที่สามารถช่วยเหลือกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในช่วงเวลาวิกฤตได้
"แน่นอนว่า เราเห็นผู้คนจำนวนมากได้รับการยกออกจากความยากจนด้วยสิ่งนี้ โดยเฉพาะในหมู่ผู้รับเงินสวัสดิการรัฐ จากการจ่ายเงินสนับสนุนในช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ รวมถึงเงินสนับสนุนระบบเศรษฐกิจด้วย" ศาสตราจารย์วิลกินส์กล่าว
"สิ่งนี้มีผลอย่างมากต่อมาตรฐานการครองชีพของผู้คนในชุมชนที่มีรายได้น้อยที่สุด และผมคิดว่า ระหว่างที่มีการถกเถียงเรื่องความยั่งยืนทางการคลังจากสิ่งนี้ แต่สิ่งที่โต้แย้งไม่ได้ก็คือมันอยู่ในความสามารถของรัฐบาล ในการยกระดับผู้คนจำนวนมากออกจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายได้”
การสำรวจรายปีดังกล่าว ซึ่งติดตามครัวเรือนจำนวน 9,500 หลังคาเรือน ยังได้บันทึกถึงการลดลงของผลิตภาพซึ่งรับรู้ได้ (perceived productivity) ในหมู่ผู้ตอบแบบสำรวจ สืบเนื่องจากการทำงานจากที่บ้าน
ศาสตราจารย์ มาร์ค วูดเด็น (Prof Mark Wooden) ผู้ร่วมจัดทำรายงาน HILDA อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงนี้จะมีผลกระทบต่อชาวออสเตรเลียได้อย่างไร
ผู้คนจำนวนมากเหล่านี้ซึ่งถูกบังคับให้ทำงานจากที่บ้านไม่ได้พร้อมสำหรับสิ่งนั้นเสมอ พวกเขาอาจไม่ได้อยู่ในบ้านหรือที่พักอาศัยซึ่งจะถูกปรับเปลี่ยนให้สำหรับการทำงานจากที่บ้านศ.มาร์ค วูดเด็น (Prof Mark Wooden)
"พวกเขาอาจไม่มีโฮมออฟฟิศ พวกเขาอาจต้องทำงานบนโต๊ะในห้องรับประทานอาหารกับใครคนอื่นในครอบครัวที่ต้องทำงานจากบ้านเหมือนกัน และพวกเขาอาจจะมีลูกซึ่งวิ่งไปมารอบ ๆ ในลักษณะที่ขวางทาง จนรวบกวนประสิทธิภาพการทำงานได้” ศาสตราจารย์วูดเด็น กล่าว
ลักษณะการทำงานจากที่บางคนอาจต้องพบเจอ Source: Getty / Getty Images
ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 19.1 ระบุว่า มาตรการจำกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระยะแรก ๆ ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้น โดยมีเพียงร้อยละ 6.6 ที่ระบุว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นแย่ลง
ดร.เอสเปอรานซา วีรา-ทอสคาโน (Dr Esperanza Vera-Toscano) นักวิจัยอาวุโสจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น อธิบายในส่วนนี้ว่า
“มันเป็นความจริงที่ขัดต่อสมมติฐานหรือข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นว่า อาจต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกับคู่ครองของคุณนานกว่าที่คาดไว้ ต้องจัดการกับงานบ้าน เช่นเดียวกับทำงานไปด้วยและต้องดูแลลูกไปด้วย” ดร.วีรา-ทอสคาโน กล่าว
ตามหลักแล้ว ผลลัพธ์นั้นไม่ได้เป็นข้อสรุปที่ชี้ว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นแย่ลง แต่มันเป็นความจริงที่น่าประหลาดใจเล็กน้อยว่าเกือบ 20% ของบุคคลนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นดร.เอสเปอรานซา วีรา-ทอสคาโน (Dr Esperanza Vera-Toscano)
ผลลัพธ์จากการสำรวจของ HILDA ยังได้ครอบคลุมถึงผลกระทบในเรื่องการศึกษาในปี 2020 อีกด้วย โดยพบว่าการเรียนจากที่บ้านนั้น ได้รับการกำหนดให้เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายสำหรับพ่อแม่มากกว่าครึ่งหนึ่ง
ดร.วีรา-ทอสคาโน กล่าวว่า สิ่งนี้เป็นไปได้ที่จะทำให้ผู้เรียนนั้นเสียเปรียบในรัฐที่มีความยุ่งเหยิงมากขึ้น
แน่นอนว่า รัฐวิกตอเรียในปี 2020 เป็นรัฐที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ดิฉันหมายถึงประสบการณ์ในการพบเจอกับไวรัส และการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 ก็ได้ทำให้การเรียนรู้นั้นแย่ลงสำหรับผู้คนในสัดส่วนที่สูงขึ้นดร.เอสเปอรานซา วีรา-ทอสคาโน (Dr Esperanza Vera-Toscano)
อย่างไรก็ตาม การค้นพบเหล่านี้ และข้อมูลล่าสุดในรายงานของ HILDA ครอบคลุมระยะเวลาเพียงปีแรกของวิกฤตโควิด-19 เท่านั้น โดยการวิเคราะห์การแพร่ระบาดใหญ่ในส่วนที่เหลือนั้นยังคงรอการเผยแพร่
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่