การทำงานแบบยืดหยุ่นเหมาะกับคุณหรือไม่ คุณจะเจรจาเพื่อให้ได้สิทธิ์การทำงานแบบนี้ได้อย่างไรบ้าง?

Could working from home work for you (Getty)

การทำงานจากบ้านเหมาะกับคุณหรือไม่? Source: Getty / Morsa Images

ผู้เชี่ยวชาญต่างกล่าวว่าความต้องการทำงานแบบยืดหยุ่นนั้น ยังคงเป็นสิ่งที่คนทำงานในฐานะลูกจ้างในหลายบริษัทยังคงเรียกร้องหลังโควิด-19 การทำงานรูปแบบนี้เป็นอย่างไร และกฎหมายระบุถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไรบ้าง


กด ▶ ฟังพอดคาสต์ด้านบน

ในช่วงเริ่มต้นของใหม่นี้ ชาวออสเตรเลียบางคนอาจกำลังคิดถึงวิธีที่จะสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้ดียิ่งขึ้น

ความต้องการในการทำงานแบบยืดหยุ่นเช่นนี้ มีเพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้หลายคนจำเป็นต้องทำงานจากที่บ้านและรายงานเวลาทำงานให้กับบริษัท

หันมามองในวันนี้ หลายองค์กรเริ่มสั่งให้พนักงานกลับมาทำงานในสำนักงาน ก็มีการต่อต้านในบางส่วน โดยดร.เมลิสซา วีลเลอร์ อาจารย์อาวุโสด้านธุรกิจและการจัดการที่มหาวิทยาลัย RMIT กล่าวว่า บางคนไม่เต็มใจที่จะกลับไปสู่ "สภาพเดิม"

“พวกเขารู้สึกเหมือนถูกบังคับ เพราะก่อนหน้านี้ พวกต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วให้เข้ากับวิธีการทำงานแบบใหม่ พวกเขาเคยชินกับการทำงานจากบ้าน ซึ่งพวกเขาก็สามารถจัดการชีวิตได้ดี และพวกเขาก็พิสูจน์แล้วว่าสามารถทำได้”

จอห์น ฮอปกินส์ (John Hopkins) รองศาสตราจารย์ด้านการจัดการที่มหาวิทยาลัย Swinburne กล่าวว่านายจ้างในปัจจุบันยอมรับคำขอการทำงานแบบยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าเดิม

“ผมคิดว่าการระบาดใหญ่ช่วยทำให้การทำงานแบบยืดหยุ่นเป็นเรื่องปกติมากขึ้น ก่อนที่จะมีการระบาด การขอการทำงานแบบยืดหยุ่นมักจะจำกัดเฉพาะกลุ่ม แต่ในปัจจุบัน คนจำนวนมากขึ้นสามารถร้องขอได้ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นผู้ดูแล เช่น พ่อแม่ ผู้ที่ดูแลญาติ ผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปี ผู้ตั้งครรภ์ หรือผู้พิการ ซึ่งมีสิทธิ์ตามกฎหมายในการขอปรับการทำงานให้เหมาะสมกับสภาพของพวกเขา เช่น การขอทำงานจากที่บ้าน”

ถึงแม้การทำงานแบบยืดหยุ่นอาจทำให้เรานึกถึงการทำงานจากที่บ้าน แต่ความจริงแล้ว คำนี้ครอบคลุมการการทำงานในรูปแบบที่หลากหลายกว่านั้นมาก

แล้วการทำงานแบบยืดหยุ่นคืออะไร?

สำนักงานส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในที่ทำงาน (WGEA) ให้นิยามว่า การทำงานแบบยืดหยุ่นเป็นข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานมาตรฐาน ให้เหมาะสมกับภาระผูกพันนอกสถานที่ทำงานของลูกจ้างมากขึ้น

สำนักงานผู้ตรวจการแรงงาน (Fair Work Ombudsman) อธิบายว่า การทำงานแบบยืดหยุ่นสามารถเป็นได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การปรับเวลาทำงาน การปรับรูปแบบการทำงาน หรือการเปลี่ยนสถานที่ทำงาน

แมรี่ วูลดริดจ์ (Mary Wooldridge) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ WGEA กล่าวว่า การทำงานแบบยืดหยุ่นกำลังกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นในสถานที่ทำงาน

“เราเห็นว่านายจ้างเพิ่มนโยบายเกี่ยวกับการทำงานแบบยืดหยุ่น และเพิ่มตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้นให้กับพนักงาน”

เธอยังระบุว่าความยืดหยุ่นในที่ทำงานมักมีแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับเพศสภาพอีกด้วย เช่น ผู้หญิงมักต้องปรับตารางงานเพื่อรองรับหน้าที่ดูแลครอบครัว ในขณะที่ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะถูกปฏิเสธคำขอการทำงานแบบยืดหยุ่นในอดีต

ตัวอย่างของการทำงานแบบยืดหยุ่น ได้แก่ การเริ่มและเลิกงานในเวลาที่เลือกเองได้ การทำงานชั่วโมงอัดแน่น การเปลี่ยนจากงานเต็มเวลาเป็นงานพาร์ทไทม์หรือ casual การแบ่งปริมาณงานและหน้าที่ การจัดตารางงานที่ยืดหยุ่น การทำงานจากที่บ้านหรือสถานที่อื่น การซื้อวันลาพักร้อนเพิ่ม การลางานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และการลาแบบชดเชยเวลา

ประโยชน์และความท้าทายของการทำงานแบบยืดหยุ่น

ฮอปกินส์ กล่าวว่าการทำงานแบบยืดหยุ่นช่วยให้พนักงานมีเวลามากขึ้น ลดค่าใช้จ่าย เช่น ค่าการเดินทาง และช่วยให้สามารถทำงานควบคู่กับภารกิจส่วนตัวได้

โดย ดร.วีลเลอร์ระบุว่าหนึ่งในผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดของเหล่าพนักงาน คือเรื่องของสุขภาพจิต

เธอยกตัวอย่างการทดลองสัปดาห์การทำงาน 4 วัน ซึ่งผลการทดลอง แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์เชิงบวกที่ชัดเจน

“พนักงานรายงานว่าพวกเขารู้สึกเครียดน้อยลง ลาป่วยน้อยลง และมีพลังงานมากขึ้น… ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลดีในแง่ของการรักษาพนักงานที่มีคุณภาพและลดวันลาป่วยของพนักงาน”

ในแง่ของความกระตือรือร้นในงาน ฮอปกินส์กล่าวว่าผลการศึกษาในหลายประเทศมีมุมมองที่หลากหลาย

“โดยทั่วไปแล้ว การทำงานแบบยืดหยุ่นไม่ได้ส่งผลเสีย และในความเป็นจริง เมื่อทำงานในสำนักงานครบ 3 วันต่อสัปดาห์ พนักงานทั่วไปก็ไม่ได้ทำงานได้มากขึ้นอย่างที่หลายคนคิด”

วูลดริดจ์กล่าวว่า หลักฐานล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ความกระตือรือร้นในการทำงาน ก็ยังคงอยู่ในระดับเดิมภายใต้เงื่อนไขของการทำงานแบบยืดหยุ่น

อย่างไรก็ตาม ดร. วีลเลอร์ ระบุว่า เรายังต้องการงานวิจัยระยะยาวเพื่อเพิ่มเติมในประเด็นนี้ในภาพรวม

โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งออสเตรเลียระบุว่า 36 เปอร์เซ็นต์ของคนทำงาน มักทำงานจากที่บ้านในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ซึ่งลดลงเล็กน้อยจาก 37 เปอร์เซ็นต์ในเดือนสิงหาคม 2023 ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดใหญ่ในปี 2020

และ 61 เปอร์เซ็นต์ สามารถเลือกเวลาเริ่มงานหรือเลิกงานของตัวเองได้

ใครสามารถขอข้อตกลงเพื่อการทำงานที่ยืดหยุ่นได้บ้าง?

ตามกฎหมาย Fair Work ใคร ๆ ก็สามารถขอตกลงเพื่อให้ได้การทำงานแบบยืดหยุ่นได้ — แต่บางกลุ่มพนักงานมีสิทธิ์ทางกฎหมายที่จะขอข้อตกลงดังกล่าวตามกฎหมายภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการจ้างงานที่เป็นธรรม (Fair Work Act) ดังที่วีลเลอร์อธิบาย

“ตามกฎหมาย Fair Work ในออสเตรเลีย ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสิทธิ์ขอความยืดหยุ่นในการทำงานได้ โดยมีการระบุรายชื่อของบุคคลที่ได้รับสิทธิ์ดังกล่าว เช่น บุคคลที่มีความจำเป็นต้องดูแลเด็กหรือญาติผู้สูงอายุ หรือมีความรับผิดชอบในการดูแลอื่น ๆ แต่จากมุมมองทางกฎหมาย ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาต่อคำขอในเรื่องนี้”

นอกเหนือจากคนที่ต้องดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ คนที่มีความพิการ และกลุ่มอื่น ๆ ผู้ที่มีสิทธิ์ขอความยืดหยุ่นยังรวมถึงพนักงานประจำที่ทำงานกับนายจ้างมานานอย่างน้อย 12 เดือน และพนักงานชั่วคราวที่ทำงานประจำต่อเนื่องเป็นเวลา 12 เดือน

ฮอปกินส์ ระบุอีกว่าพนักงานที่อยู่นอกกลุ่มนี้ สามารถเข้าหานายจ้างด้วยคำขอได้ แต่อาจจะไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย Fair Work Act

ในปัจจุบันกฎเกณฑ์เหล่านี้อาจมีอยู่ข้อตกลงหรือสัญญาการจ้างงาน หรือแนวปฏิบัติในที่ทำงาน — แต่ต้องเป็นไปตาม Fair Work Act

โดยฮอปกินส์แนะนำว่า การเริ่มต้นขอตกลงการทำงานแบบยืดหยุ่นไม่เป็นทางการกับผู้จัดการ พร้อมกับการนำเสนอเหตุผลที่น่าเชื่อถือนั้น เป็นวิธีการขอเจรจาที่ดี

“ผมอยากแนะนำให้ใครก็ตามที่ต้องการข้อตกลงการทำงานแบบยืดหยุ่นในปีใหม่นี้ ให้ลองมองจากมุมมองขององค์กรและย้อนกลับมาหาเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องการข้อตกลงการทำงานแบบนี้ มันจะมีประโยชน์กับคุณอย่างไร? และถ้ามองจากมุมองค์กร จะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่? หากคุณได้รับข้อตกลงนี้ มันจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของคุณหรือไม่? และมีข้อจำกัดอะไรที่ต้องพิจารณาหรือเปล่า? สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง”

พนักงานที่เข้าเกณฑ์ตามข้อกำหนดเหล่านี้จำเป็นต้องทำคำขอเป็นลายลักษณ์อักษร โดยระบุรายละเอียดและเหตุผลให้ชัดเจนและครอบคลุม

สำหรับคำขอที่อยู่ภายใต้กฎหมาย นายจ้างจะต้องตอบกลับเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 21 วันตามกฎหมาย Fair Work และนายจ้างสามารถปฏิเสธคำขอได้ "หากมีเหตุผลทางธุรกิจที่สมเหตุสมผลและได้ดำเนินการตามขั้นตอนบางอย่างแล้ว"

เหตุผลที่สมเหตุสมผลอาจรวมถึงค่าใช้จ่าย ความสามารถ ความเหมาะสม ความไม่มีประสิทธิภาพ หรือผลกระทบต่อการบริการลูกค้า

วูลดริดจ์ ระบุว่าข้อตกลงเหล่านี้ต้องได้รับการติดตาม และทีมงานจำเป็นต้องมีทักษะในการจัดการกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่นด้วย

“เราแนะนำให้นายจ้างเปิดใจพูดคุยถึงความต้องการของพนักงาน โดยจากการรายงานที่ผ่านมา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ผู้คนต้องการทำงานแบบยืดหยุ่น พวกเขาต้องการจัดการความรับผิดชอบอื่น ๆ ที่มี ควบคู่ไปพร้อมกับการทำงานอย่างมีเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลในเชิงบวกต่อผลลัพธ์การทำงาน ทั้งประสิทธิภาพการทำงาน และผลประกอบการของบริษัทโดยรวม”

Share

Recommended for you