โควิด-19: การรอคอยที่ปวดร้าวของคนเป็นแม่ที่สูญเสียลูกช่วงวิกฤต

Elizabeth Dau is pleading with South Australia health to allow her entry to bury her daughter

Elizabeth Dau's daughter Margaret died last month aged 22. Source: SBS/Abby Dinham

การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจบอบช้ำ แต่หากเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ไวรัสโคโรนาแล้ว จะยิ่งสร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจมากขึ้นกว่าเดิม เช่นเดียวกับเรื่องราวของคุณแม่คนหนึ่งในนครเมลเบิร์น ที่ได้สูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รัก แต่เนื่องจากมาตรการป้องกันไวรัส ทำให้เธอรอคอยอย่างทุกข์ทรมาน เพียงเพื่อจะบอกลาลูกสาวของเธอเป็นครั้งสุดท้าย


ในบ้านหลังเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในพื้นที่รอบนอกของนครเมลเบิร์นทางตะวันตกเฉียงเหนือ แทบทุกวันของ คุณเอลิซาเบธ ดอร์ (Elizabeth Dau) คือการร้องไห้อยู่บนพรมผืนเล็ก ๆ  ด้วยความคิดถึงลูกสาวของเธอที่จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ 

มาร์กาเรต อากิมา กาแรง (Margaret Akima Garang) ลูกสาวของเธอ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา ด้วยอายุ 22 ปี

ตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมา เธอพยายามที่จะเดินทางข้ามพรมแดนจากรัฐวิกตอเรีย ไปยังรัฐเซาท์ออสเตรเลีย เพื่อที่จะไปพบเธอเป็นครั้งสุดท้าย

คุณดอร์กล่าวว่า เธอไม่ได้นอนหลายชั่วโมง ในวันที่เธอทราบว่า ลูกสาวของเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว

"ได้โปรดให้ฉันได้ฝังศพลูกสาวของฉัน ฉันจะนอนหลับลงได้อย่างไร ในเมื่อร่างลูกสาวของฉันอยู่ในตู้เย็นเก็บศพเหมือนไม่มีพ่อมีแม่" คุณดอร์กล่าว

คุณดอร์ เดินทางมาถึงออสเตรเลียเมื่อปี 2004 แม่หม้ายพร้อมลูก 3 คน อาเยน กาแรง (Ayen Garang) อายุ 13 ปี กาแรง กาแรง (Garang Garang) อายุ 9 ปี และมาร์กาเรต กาแรง (Magaret Garang) อายุ 7 ปี สามีของเธอเสียชีวิตจากการติดเชื้อบริเวณแผลกระสุนปืน ระหว่างเป็นทหารต่อสู้ในสงครามกลางเมืองในประเทศซูดาน ครอบครัวของเธอใช้เวลาอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยเป็นเวลา 7 ปี ก่อนที่จะเดินทางมายังนครเมลเบิร์น

มากาเร็ตได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่นครแอดิเลด เพื่อเป็นการให้รางวัลกับตัวเอง ก่อนที่จะเริ่มศึกษาในสาขานิติศาสตร์ แต่หลังเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ทำให้เวลา 2-3 สัปดาห์ กลับยาวนานไปหลายเดือน

"เธอรักการพบปะผู้คน เธอเป็นมิตรกับทุกคน และเธออยากเป็นนักกฎหมาย เธอเป็นเด็กที่ฉลาดมาก” คุณดอร์เล่า

มาร์กาเรตล้มป่วยตั้งแต่เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล Royal Adelaide ด้วยภาวะตับวายเฉียบพลัน โดยครอบครัวของเธอไม่ทราบมาก่อนว่าเธอมีปัญหาสุขภาพ

คุณอาเยน (Ayen) พี่สาวคนโตของเธอ ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปพบกับเธอที่รัฐเซาท์ออสเตรเลีย แต่มาร์กาเรตได้เสียชีวิตเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ทั้งสองจะได้พบกัน 

เนื่องจากคุณดอร์ ผู้เป็นแม่ของเธอไม่สามารถอ่านหรือเขียนภาษาอังกฤษได้ ดังนั้น เธอจึงต้องหวังพึ่งความช่วยเหลือจากสมาชิกในครอบครัว เพื่อยื่นเอกสารแทนเธอไปยังหน่วยงานสาธารณสุขรัฐเซาท์ออสเตรเลีย และตำรวจรัฐเซาท์ออสเตรเลีย เพื่อขออนุญาตเข้าพรมแดน 

ต่อมา ตำรวจรัฐเซาท์ออสเตรเลีย ได้ส่งจดหมายกลับมา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา ใจความส่วนหนึ่งระบุว่า “หากคุณต้องการที่จะเดินทางอย่างเร่งด่วน โปรดเดินทางไปยังจุดผ่านแดน ซึ่งคุณสามารถยื่นขอการอนุมัติชั่วคราวได้” 

คุณดอร์เดินทางไปยังนครแอดิเลดในวันต่อมา พร้อมกับหลานของเธออีก 2 คน โดยมีตำรวจรัฐเซาท์ออสเตรเลียมารับตัวทั้ง 3 คนไปยังโรงแรม เพื่อรอการตัดสินใจในขั้นตอนต่อไป แต่ในเช้าวันต่อมา คุณดอร์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้นำตัวเธอพร้อมกับหลานกลับไปที่สนามบิน โดยที่ไม่ได้รับคำอธิบายใด ๆ 

เธอเล่าว่า เย็นวันนั้น เธอได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งอ้างว่า พวกเขาไม่ทราบว่าเธอได้เดินทางกลับไปยังนครเมลเบิร์นแล้ว โดย SBS ได้ติดต่อไปยังตำรวจรัฐเซาท์ออสเตรเลียเพื่อหาคำตอบในกรณีดังกล่าว แต่ยังไม่มีการตอบรับใด ๆ จากเจ้าหน้าที่ ณ เวลาที่เรื่องราวนี้ได้ถูกเผยแพร่ 

คุณดอร์กล่าวว่า เธอไม่ต้องการที่จะกล่าวโทษใคร เธอเพียงต้องการที่จะบอกลาลูกสาวของเธอเท่านั้น

“พวกเขาบอกฉันว่า มีผู้คนจำนวนมากที่ยังคงรอการยกเว้นให้สามารถเดินทางได้ แต่ทำไมฉันถึงต้องรอนานขนาดนั้น ทำไมพวกเขาไม่ให้ฉันทำพิธีฝังศพลูกสาวของฉัน เพื่อให้เธอได้ไปสู่สุขคติเสียที” คุณดอร์กล่าว

ทั้งนี้ SBS ได้รับข้อมูลจากหลายแหล่งข่าวที่ระบุว่า มีแบบคำร้องขอยกเว้นการเดินทางเข้ามายังรัฐเซาท์ออสเตรเลียที่ยังคงรอการพิจารณามากกว่า 6,000 ฉบับ ขณะที่หน่วยงานสาธารณสุขรัฐเซาท์ออสเตรเลียได้ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในกรณีของคุณดอร์ โดยใจความส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุว่า “การยกเว้นการเดินทางนั้น จะมีการพิจารณาแบบรายบุคคล ประกอบกับข้อมูลด้านระบาดวิทยาในท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงหลักฐานของการแพร่กระจายเชื้อภายในชุมชน”

ด้าน คุณสตีเฟน เวด (Stephen Wade) โฆษกประจำสำนักรัฐมนตรีด้านสาธารณสุขรัฐเซาท์ออสเตรเลีย ได้กล่าวกับ SBS ว่า “รัฐมนตรีสาธารณสุขจะไม่นำตนเองเข้ามาข้องเกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณาอนุญาตการเดินทาง เพื่อทำให้แน่ใจว่า การตัดสินใจนั้นเป็นไปโดยดุลพินิจของผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข และไม่มีอิทธิพลทางการเมือง เข้ามาเกี่ยวข้อง” 

สำหรับคุณเอลิซาเบธนั้น เธอได้ยื่นขออนุญาตเข้าพรมแดนไปเป็นจำนวน 8 ครั้ง และต้องใช้เอกสารตั้งแต่ใบรับรองจากโรงพยาบาล จดหมายจากแพทย์ และผลการตรวจหาไวรัสโคโรนาที่เป็นลบ

คุณไมเคิล ดอร์ (Michael Dau) ลูกพี่ลูกน้องของเธอซึ่งอาศัยอยู่ในนครแอดิเลด ได้ต่อรองกับหน่วยงานด้านสุขภาพรัฐเซาท์ออสเตรเลีย ในนามของคุณเอลิซาเบธ ดอร์

เขากล่าวว่า สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดก็คือ การที่คำร้องของเธอถูกระบุเพียวแค่ว่า “ถูกปฏิเสธ” โดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ เพิ่มเติม

“มันเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเรา เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ตอนนี้ ไม่มีใครสามารถไปเยี่ยมใครได้ เอลิซาเบธต้องอยู่คนเดียวกับเด็ก ๆ ที่รัฐวิกตอเรีย เธอรู้สึกเหงามาก เธอมักจะโทรหาผมกลางดึก ผมพยายามให้คำปรึกษากับเธอทางโทรศัพท์” คุณไมเคิล ดอร์ กล่าว

คุณไมเคิล ดอร์ กล่าวว่า การเยี่ยมพบปะ เป็นส่วนสำคัญของพิธีฝังศพของชาวซูดานใต้ ตามปกติแล้ว สมาชิกครอบครัวจะมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า เพื่อแสดงความเสียใจและสวดภาวนาให้กับผู้จากไปเป็นเวลา 1 สัปดาห์ 

ขณะที่ผู้นำชุมชนได้แสดงความกังวลเป็นอย่างมากกับสุขภาพจิตของทางครอบครัว หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ 

คุณริง มายาร์ (Ring Mayar) ประธานสมาคมชุมชนชาวซูดานใต้แห่งรัฐวิกตอเรีย กล่าวว่า ชีวิตของคุณเอลิซาเบธ ดอร์นั้นได้รับความบอบช้ำมาอยู่แล้ว ในตอนนี้ การสูญเสียลูกสาวของเธอ และการต้องรอคอยกว่าจะได้ร่วมพิธีฝังศพลูกสาวของเธอนั้น อาจเลวร้ายมากเกินกว่าที่เธอจะรับได้

“มันได้สร้างความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน ความเศร้าใจ และความวิตกกังวลมากขึ้นไปอีกสำหรับครอบครัวของเธอ มันเป็นเรื่องยากมาก และพวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร” คุณมายาร์กล่าว

หลังจากที่คุณเอลิซาเบธ ดอร์ และครอบครัว ต้องเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายที่ไม่รู้ว่าจะจบลงเช่นไร ในวันที่เรื่องราวนี้ได้เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์เอสบีเอส ครอบครัวของคุณเอลิซาเบธได้รับโทรศัพท์จากหน่วยงานสาธารณสุขรัฐเซาท์ออสเตรเลีย เพื่อแจ้งว่า พวกเขาได้รับอนุญาตให้เดินทางไปยังนครแอดิเลด

โดยทางครอบครัวจะต้องกักโรคเป็นเวลา 14 วัน ก่อนที่จะสามารถจัดพิธีศพ เพื่อทำพิธีฝังร่างของมาร์กาเรตได้ในที่สุด


ประชาชนในออสเตรเลียต้องอยู่ห่างกับผู้อื่นอย่างน้อย 1.5 เมตร คุณสามารถตรวจดูว่ามีข้อจำกัดใดบ้างที่บังคับใช้อยู่ในรัฐและมณฑลของคุณ 

การตรวจเชื้อไวรัสโคโรนาขณะนี้สามารถทำได้ทั่วออสเตรเลีย หากคุณมีอาการของไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ให้ติดต่อขอรับการตรวจเชื้อได้ด้วยการโทรศัพท์ไปยังแพทย์ประจำตัวของคุณ หรือโทรศัพท์ติดต่อสายด่วนให้ข้อมูลด้านสุขภาพเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา (Coronavirus Health Information Hotline) ที่หมายเลข 1800 020 080

รัฐบาลสหพันธรัฐออสเตรเลียยังได้มีแอปพลิเคชัน COVIDSafe เพื่อติดตามและแจ้งเตือนผู้ที่พบปะใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดมาใช้ได้จากแอปสโตร์ (app store) สำหรับโทรศัพท์มือถือของคุณ อ่านเกี่ยวกับแอปพลิเคชันนี้ 

คุณสามารถอ่านข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เป็นภาษาไทยได้

รายการ เอสบีเอส ไทย ออนไลน์ ออกอากาศสดหนึ่งชั่วโมงเต็ม กดฟังได้ที่เว็บไซต์  ทุกจันทร์และพฤหัสบดี 22.00 น. (เวลาซิดนีย์/เมลเบิร์น) หลังจากนั้นฟังซ้ำได้ทุกเมื่อ

ติดตาม เอสบีเอส ไทย ทางเฟซบุ๊กได้ที่ 

Share