นับตั้งแต่ปี 2566-2567 ที่ผ่านมา ปรากฎการณ์เอลนีโญ (El Niño) ได้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความแปรปรวนทางอากาศอย่างรุนแรง อีกทั้งยังส่งผลให้อุณหภูมิทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น
ทางองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization หรือ WMO) ได้คาดการณ์ไว้ว่าปรากฎการณ์เอลนีโญในปีนี้กำลังจะสิ้นสุดลง และมีแนวโน้มว่าจะเป็นมีปรากฎการณ์ลานีญา (La Niña) จะเข้ามาแทนภายในไม่กี่เดือนหลังจากนี้
และนี่คือสิ่งที่คุณควรรู้
อะไรคือเอลนีโญ (El Niño)?
เอลนีโญ คือ รูปแบบสภาพอากาศที่เกิดขึ้นตลอดมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อน ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิผิวน้ำทะเลนั้นเพิ่มขึ้นสูงกว่าปกติ จึงทำให้เกิดสภาวะอากาศทั่วโลกมีความแห้งขึ้นและร้อนขึ้น
ส่วนในออสเตรเลียนั้น เอลนีโญนั้นสามารถเพิ่มความเสี่ยงและความรุนแรงของไฟป่าได้ อีกทั้งยังทำให้คลื่นความร้อนทวีความรุนแรงขึ้น และก่อให้เกิดสภาวะอากาศที่แห้งแล้งขึ้นได้
เอลนีโญนั้นจะอยู่ในช่วงที่พีคที่สุดเมื่อนเดือนธันวาคมเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งจากการจัดอันดับล่าสุด เผยว่าส่งผลกระทบกับโลกรุนแรงมากที่สุดเป็นอันดับห้านับตั้งแต่มีการจัดทำสถิติ
เมื่อไหร่เอลนีโญจะจบลง?
สืบเนื่องจากการอัพเดตสถานการณ์ทางสภาพอากาศขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ที่ได้แถลงว่าปรากฎการณ์เอลนีโญประจำปี 2566-2567 นั้นเริ่มส่งสัญญาณว่ากำลังจะสิ้นสุดลง และจะเป็นช่วงเวลาที่ปรากฏการณ์เอลนีญาจะเริ่มเข้ามาแทนที่ในช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงเดือนกันยายนนี้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2566-2567 ที่ผ่านมา นับว่าอุณหภูมิโลกได้พุ่งสูงขึ้นที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่การจบลงของปรากฏการณ์เอลนีโญในครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าอุณหภูมิขอโลกจะมีแนวฉน้มว่าจะลดลง
ทางด้าน นางโค บาร์เร็ตต์ (Ko Barret) รองเลขาธิการกล่าวว่า อุณหภูมิสูงเช่นนี้จะยังคงระดับไว้ต่อเนื่องอันเกิดจากการปล่อยสารพิษและความเปลี่ยนแปลงทางอากาศในระยะยาว
"การสิ้นสุดลงของเอลนีโญไม่ได้เป๋นการบอกสัญญาณว่าอุณหภูมิจะลดลง แต่โลกของเรายังคงจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยมีสาเกตุสำคัญมาจากก๊าซภาวะเรือนกระจกที่ทำให้โลกไม่สามารถระบายความร้อนออกไปได้“ นางบาร์เร็ตต์กล่าว พร้อมเสริมอีกว่า อุณหภูมิเหนือน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างมากนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อสภาวะอากาศในอีกหลายเดือนในอนาคต
ปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) คืออะไร?
ลานีญา เป็นปรากฏการณ์ทางอากาศที่เกิดขึ้นเมื่อกระแสลมเพิ่มความรุนแรงจนเปลี่ยนทิศทางกระแสน้ำในมหาสมุทร โดยจะดึงเอาน้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่าลงไปใต้ทะเล ซึ่งในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะย่านเขตร้อนนั้น ผลกระทบของลานีญาจะแตกต่างกันกับเอลนีโญอย่างสิ้นเชิง
นั่นหมายความว่า ปริมาณน้ำฝนจะสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะพื้นที่ฝั่งตะวันออกและฝั่งเหนือ ส่งผลให้อุณหภูมิของอากาศลดลงในช่วงระหว่างวัน ซึ่งนั่นอาจเพิ่มความเสี่ยงในการน้ำท่วมมากขึ้นเช่นกัน
อ้างอิงข้อมูลจาก WMO ที่มีการพยากรณ์ไว้ว่า จะเกิดลานีญาขึ้นในช่วงกรกฎาคมและกันยายน 60 เปอร์เซ็นต์ และช่วงสิงหาคมและพฤศจิกายนมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์
นางบาร์เร็ตต์ กล่าวเพิ่มอีกว่าความแปรปวนของสภาพอากาศมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน อันเกิดจากความร้อนสูงและความชื้นในชั้นบรรยากาศ