กด ▶ ฟังพอดคาสต์ด้านบน
พฤติกรรมผิดปกติของการรับประทานอาหาร เป็นปัญหาสุขภาพที่พบเจอมาเป็นเวลานาน ซึ่งความเจ็บป่วยนี้ ส่งผลกระทบต่อหญิงสาวและเด็กผู้หญิงชาวตะวันตกเป็นส่วนใหญ่
เช่นเดียวกับปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ความผิดปกติในการรับประทานอาหารไม่ได้แบ่งแยกตามเพศหรือเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่งโดยเฉพาะ
จากข้อมูลของมูลนิธิ the Butterfly Foundation ซึ่งเป็นองค์กรระดับชาติที่มุ่งแก้ปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติของการรับประทานอาหารของออสเตรเลีย ชี้ว่าในความเป็นจริงมากกว่าหนึ่งในสามของผู้ที่ป่วยจากโรคการกินผิดปกติเป็นผู้ชาย
คุณ ธาริน ดูเจดีวา วัย 30 ปี ต้องเผชิญกับอาการป่วยจากโรคการกินผิดปกติ เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ก่อนที่เขาจะกล้าขอความช่วยเหลือ
เขาเปิดเผยว่า ว่าเขาไม่รู้สึกว่าตนไม่มีสิทธิ์ยอมรับว่าตนเองมีความผิดปกติในการรับประทานอาหาร แม้จะสังเกตเห็นความผิดปกติ ระหว่างการรับประทานอาหารและร่างกายของเขาในช่วงรอยต่อจากมัธยมปลายถึงมหาวิทยาลัยก็ตาม
"มันเป็นช่วงเวลาที่สับสนมากสำหรับผม ผมมีเสียงในหัวที่คอยบอกว่าอะไรควรกิน อะไรไม่ควรกิน อะไรควรใส่ใจ เพราะปกติเราจะรับรู้ว่า ความผิดปกติของการกินที่เสนอในสื่อหรือทางออนไลน์มักจะเป็นหญิงสาว ซึ่งมันไม่ใช่ผมแน่นอน
"และที่ผมคิดคือ ผมไม่สมควรที่จะป่วยเป็นโรคนี้ และมันหมายถึงว่าผมอาจไม่ได้รับการช่วยเหลือบางอย่าง"
อ่านเพิ่มเติม
ผู้ชายไม่ควรมองข้ามเรื่องสุขภาพจิต
คุณ ธาริน ดูเจดีวา กล่าวว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาประสบปัญหาความผิดปกติในการรับประทานอาหาร แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพและร่างกายของเขา
เขาบอกว่าในฐานะคนผิวสี เขาจำความรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกในโรงเรียนประถมได้ และมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเลือกกินเมื่อตอนเป็นเด็ก
"จำได้ว่าตอนที่อยู่ชั้นประถม มีครั้งหนึ่งที่ครูคนหนึ่งปั้มตราปั้ม ให้นักเรียนที่ตั้งใจเรียน จำได้ว่าผมต่อคิว และยื่นมือออกเพื่อให้ครูปั้มตรา แต่ครูบอกว่าเธอปั้มไม่ได้หรอก เพราะมันกลืนกับสีผิวเธอ ตั้งแต่นั้นมา ผมตระหนักว่าผมไม่เหมือนกับเด็กอื่นๆ ตอนนั้นผมแค่รู้สึกว่า มันโอเคเป็นเรื่องปกติ และมันขึ้นอยู่กับตัวผมเองที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคม"
ระบุว่าโอกาสที่ผู้ชายจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคผิดปกติในการรับประทานอาหารน้อยกว่าผู้หญิงถึงสี่เท่า
นักจิตวิทยาคลินิกและผู้จัดการสายด่วนช่วยเหลือแห่งชาติของ มูลนิธิ The Butterfly Foundation ซาราห์ ค็อกซ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายจะหลีกเลี่ยงการขอความช่วยเหลือ
เธอกล่าวว่าน้อยกว่าร้อยละ 10 ของผู้ที่ติดต่อมาที่สายด่วนจะเป็นผู้ชาย แม้ว่าสถิติที่แท้จริงของผู้ชายที่มีความผิดปกติในการรับประทานอาหารจะสูงกว่านี้มากก็ตาม
"สังคมยังมีความเข้าใจผิดอยู่มาก เกี่ยวกับโรคการกินผิดปกติ เช่น เข้าใจว่ามีเพียงหญิงสาวที่ดูผอมมากๆ เท่านั้นที่เป็นโรคการกิน แต่นั่นไม่จริงและความเจ็บป่วยนี้ สามารถส่งผลกระทบต่อใครก็ได้ โดยไม่คำนึงถึงเพศ เรื่องเพศ ภูมิหลังทางวัฒนธรรม รูปร่างหรือขนาดคุณ ซาราห์ คอกซ์
"ฉันคิดว่าเนื่องจากมีการพูดถึงหรือนำเสนอเรื่องนี้ในมุมแคบๆ ที่ทำให้คนถูกตีตราในสังคม และเช่นเดียวกันกับการรู้สึกผิดกับตนเอง เพราะว่าถ้าพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ถูกทำเป็นภาพจำ พวกเขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่พวกเขากำลังเป็นอยู่ คือความผิดปกติเกี่ยวกับการกิน"
คุณ ซาราห์ ค็อกซ์ เสริมว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น
"ฉันคิดว่าสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่สังคมนำเสนออกมาซ้ำ จนเป็นภาพจำ มันยิ่งเป็นเพียงการเพิ่มความซับซ้อนและอุปสรรค ที่ขัดขวางคนเหล่านั้นให้ได้รับการรักษา ที่มีความเข้าใจทางวัฒนธรรม"
แม้ว่าความผิดปกติในการรับประทานอาหารอาจมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกันในเพศต่างๆ อย่างไรก็ตามผู้ชายอาจมีความเสี่ยงต่อรูปแบบและพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพบางประเภทได้มากกว่า
นักจิตวิทยาคลินิกและผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยระดับโลกของ ซึ่งเป็น องค์กรรณรงค์เกี่ยวกับสุขภาพของผุู้ชาย Movember ดร.แซค ไซด์เลอร์
ให้คำจำกัดความของคำว่า 'big-orexia' ซึ่งสมาคมจิตแพทย์อเมริกันอธิบายว่าเป็นโรคที่มีลักษณะเฉพาะคือการยึดติดกับความเชื่อที่ว่าตัวเองยังไม่มีกล้ามเนื้อหรือยังไม่ผอมพอ
อ่านเพิ่มเติม
สุขภาพจิต: ปัญหาใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม
ดร.ไซด์เลอร์กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติในผู้ชายที่มีอาการผิดปกติจากการรับประทานอาหาร จะแสดงออกมาเป็นความหลงใหลในการเพิ่มกล้ามเนื้อ การใช้สเตียรอยด์ และอาหารเสริม
"สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเพราะวิธีที่ผู้ชายหลายคนกดดันตัวเองท่ามกลางความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดเพื่อการเข้าสังคม ที่เป็นเทรนด์ตอนนี้ เช่น การอาบน้ำแข็งและอาหารประเภทเนื้อสัตว์เท่านั้น และมันอยู่ในพื้นที่ของคำจำกัดความของสุขภาวะที่ดีของผู้ชาย"
"และยังมีแนวคิดเรื่องการพลีชีพ ที่มาพร้อมกับความเป็นชายที่ประสบความสำเร็จอีกด้วย เมื่อพวกเขาใช้ยาเพิ่มกล้ามเนื้อ มีความหมกมุ่นอยู่กับฟิตเนสและภาพลักษณ์ ซึ่งทำให้รูปร่างเหมือนคนดัง เหมือนอินฟลูเอนเซอร์ เขาเจ๋ง เขาปัง มีสาวๆ รุมล้อม แต่ที่แท้ภายใต้จิตสำนึกคคือการต้องต่อสู้กับตนเองทุกวัน
ดร.ไซด์เลอร์ ชี้ว่าปัญหาการกินที่ผิดปกติสำหรับผู้ชายนั้นใหญ่กว่าที่คิด
ผมว่ามันแปลกมาก ที่เราคิดว่าอาการความผิดปกติของการรับประทานอาหาร เกิดขึ้นเฉพาะกับสตรี ในเมื่อจริงๆแล้ว นี่คือปัญหาที่เกิดกับผู้ชายด้วย มันคือ ภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาของปัญหาที่เราเพิ่งจะเริ่มตระหนัก เมื่อไม่นานมานี้นักจิตวิทยาคลินิกและผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Movember ดร.แซค ไซด์เลอร์
คุณ ธาริน ดูเจดีวา รู้สึกไม่อยากกล่าวถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ที่จะยอมรับว่า ความท้าทายในเรื่องนี้อีกประการหนึ่งคือ ภูมิหลังทางวัฒนธรรมของเขา
"ผมเป็นชาวสิงหลศรีลังกาซึ่งปกติเรื่องสุขภาพจิต นั้นไม่ใช่เรื่องที่เราพูดถึง บางครั้งในชุมชนและครอบครัวของผม การที่เราจะพูดถึงเรื่องสุขภาพจิตเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการรับประทานอาหารและ การเข้าถึงอาหารถือเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยเพราะในขณะที่คนมากมายต้องอดอยาก แต่คุณกลับมีปัญหาเรื่องการกิน มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก มันเป็นเรื่องที่ท้าทายมากจะพูดคุยนี้ในบริบททางวัฒนธรรมของผม ผมคิดว่ามันทำให้อับอายมากขึ้น มันกับเรื่องข้างต้นของผม ผมรู้สึกว่ามันต้องเก็บเป็นความลับ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกว่าต้องแยกตัวเองออกมาจากบริบทวัฒนธรรม เมื่อพูดถึงเรื่องสุขภาพจิต "
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ 'การคิดแบบเป็นกลุ่มก้อน' ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในหมู่ผู้ชาย ดังที่ ดร. ไซด์เลอร์ อธิบายว่ามีการส่งต่อความคิดเกี่ยวกับสุขภาพเกี่ยวกับภาพลักษณ์และอาหารด้านลบ
เขากล่าวว่า สิ่งที่ควรส่งเสริมคือ การมีมิตรภาพที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน สามารถพูดคุย ปรึกษากันอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งมันช่วยให้เกิดการสนทนาที่สามารถพูดคุยเรื่องที่ยากลำบากเกี่ยวกับสุขภาพจิตได้
"ถ้าคุณมีกลุ่มเพื่อนที่คุยสามารถคุยแบบเปิดอกได้ คุณจะสามารถพูดคุยในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพจิตได้อย่าางสบายใจมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่พบว่ามันยอดเยี่ยมมากในมิตรภาพในหมู่ผู้ชายคือ เราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งหวังว่ากลุ่มคนหนุ่มๆ ที่มีกลุ่มเพื่อนที่ไว้ใจ ที่เขาสามราถคุยปรึกษาได้ในตอนที่รู้สึกว่าตนเองมีปัญหานั้นเป็นเรื่องที่ดี "
คุณ ธาริน ดูเจดีวา ก็เช่นกัน ที่เมื่อรู้ว่ามีผู้ชายจำนวนมากที่ประสบปัญหาความผิดปกติทางการกินเช่นเดียวกับเขาและออกมาเปิดเผย มันทำให้เขาอยากช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันด้วย
"ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคนคิดว่าวันหนึ่ง ผมจะมีโอกาสออกมาพูดอะไรแบบนี้ในตอนที่ยังมีชีวิต มันทำให้รู้สึกมีความหวัง แต่ขณะเดียวกันก็เศร้าใจด้วย ที่ตอนยังเป็นเด็กผมต้องทนอยู่กับความรู้สึกเช่นนั้น และมันเป็นที่สะท้อนว่า ทำไมผมถึงอยากรณรงค์เรื่องนี้ เพื่อส่งต่อเรื่องราว ที่อาจช่วยเหลือผู้อื่นได้ ปัญหาที่พวกเขาอาจไม่สามารถพูดได้ในชุมชนของตนเอง "
หากคนที่คุณรู้จัก มีปัญหาเช่นนี้ คุณสามารถขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิ The Butterfly Foundation เบอร์โทร 1800 33 46 73 - หรือผ่านทางเว็บไซต์ movember.com
_____________________________________________________________________________________________
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่