กด ▶ ฟังพอดคาสต์ด้านบน
คุณ ซู เบดดราเดน คุณแม่ลูกสาม ทราบดีถึงความลำบากในการหาความช่วยเหลือในการดูแลลูกๆ ของเธอในช่วงปีแรกๆ ของชีวิต และเมื่อเธอพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ และจึงตัดสินใจว่าการกลับไปทำงานไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุด คุณ เบดดราเดน เปิดเผยว่า
[["ฉันคิดว่า คนส่วนใหญ่อยากกลับไปทำงานเพราะว่าสมัยนี้เศรษฐกิจไม่ดี หลายๆคนกำลังประสบปัญหาทางการเงิน ดังนั้นการกลับไปทำงานคือทางหนึ่งที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว แต่เงินที่ได้มากลับต้องมาเสียค่าใช้จ่ายให้กับไชลด์แคร์ กว่าครึ่ง เพราะฉนั้นก็อยู่บ้านดูแลลูกเองไม่ดีกว่าหรือ "]]
ออสเตรเลียเป็นประเทศหนึ่งที่มีค่าไชลด์แคร์สูงที่สุดในโลก โดยอยู่ที่อันดับ 26 จาก 32 ประเทศในกลุ่มประเทศองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
การที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็ก หรือ ไชลด์แคร์ฟรี สำหรับเด็กๆ ชาวออสเตรเลียที่มีอายุไม่เกิน5 ปี เป็นเรื่องที่อภิปรายกัยมาเป็นเวลานาน และมีคำถามมากมายจากหลายภาคส่วน เช่นคณะกรรมการเพิ่มผลผลิต หรือ หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันภาคเศรษฐกิจ ไปจนถึง คณะกรรมการการแข่งขันและผู้บริโภคของออสเตรเลีย หรือ ACCC [[A-Triple-C]] ว่าเราจะทำให้นโยบายนี้เป็นจริงได้อย่างไร
รายงานของACCC ประจำเดือนมกราคมเกี่ยวกับบริการการเลี้ยงเด็กพบว่านโยบายที่ไม่ยืดหยุ่นในขณะนี้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของครอบครัวในออสเตรเลียทั้งหมดได้ Source: AAP
จากรายงานโดยกลุ่มนักคิด think tank ของศูนย์เพื่อการพัฒนานโยบาย ได้มีการพิจารณาปัจจัยต่างๆ ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะนำระบบ ไชลด์แคร์ฟรี แก่ชาวออสเตรเลียมาใช้ภายในระยะเวลาสิบปี
ทั้งยังแนะนำว่าควรจัดให้มีบริการดูแลเด็กฟรีสามวันต่อสัปดาห์สำหรับครอบครัวที่มีรายได้ต่อปีรวมกันไม่เกิน 80,000 ดอลลาร์ และถ้าครอบครัวใดที่มีรายได้มากกว่านั้น อาจจะจ่ายค่า ไชลด์แคร์ ประมาณ 30 ดอลลาร์ต่อสามวันใน [[หนึ่งสัปดาห์]]
ซึ่งถ้าดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว รัฐจะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นราว 7 พันล้านดอลลาร์ต่อปี [[จากค่าใช้จ่ายปัจจุบันที่ 13 พันล้านดอลลาร์ต่อปี]
ซีอีโอของศูนย์พัฒนานโยบาย แอนดรูว์ ฮัดสัน กล่าวว่าการศึกษาปฐมวัยควรได้รับพิจารณาว่าเป็นบริการที่จำเป็น เช่นเดียวกับ Medicare หรือการศึกษาภาครัฐ
เขากล่าวว่าการเปลี่ยนไปใช้โมเดลไชลด์แคร์ฟรีสำหรับพลเมืองทุกคน หรือ universal model จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล คุณ ฮัดสัน อธิบายว่า
[["จากประมาณการของเราคือจะต้องเพิ่มงบประมาณประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์ ในการนำระบบลไชลด์แคร์ฟรีในการศึกษาปฐมวัยมาใช้ แต่รัฐจะได้รายได้ชดเชนจากภาษีหลายพันล้านดอลลาร์จากพ่อแม่ที่กลับไปทำงาน โดยเฉพาะผู้หญิงที่สามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ ซึ่งจะเป็นการการส่งเสริม GDP นับพันล้านดอลลาร์ และมีการออมเงินจำนวนมหาศาลในระบบสุขภาพ ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และอื่น ๆ เพราะระบบการศึกษาปฐมวัยแบบuniversal model นี้จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆ มากขึ้น"]]
ค่าใช้จ่ายไชลด์แคร์กระทบครอบครัวอย่างไร
ความสามารถในการจ่ายค่าไชลด์แคร์ เป็นประเด็นที่มีความสำคัญและมีการพูดถึงกันมาโดยตลอด โดยรายงานในเดือนมกราคมของ ACCC พบว่าเงินอุดหนุนการดูแลเด็กของรัฐบาลกลางล่าสุด หรือ Child Care Subsidy [[ซึ่งมีการปรับปรุงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2023 ที่ผ่านมา]] ปรากฎว่าเงินอุดหนุนดังกล่าวสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้เพียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ให้บริการสูงขึ้น
คุณ ฮัดสัน กล่าวต่อไปอีกว่า การเข้าถึงการดูแลเด็กเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ปกครองอยู่แล้ว มากไปกว่านั้นเรื่องค่าใช้จ่ายก็ยื่งทำให้ครอบครัวที่มีรายได้น้อยไม่ได้รับโอกาสดังกล่าว คุณ ฮัดสัน วิเคราะห์ว่า
[["เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ดังนั้นเราจึงต้องลดต้นทุนลง ออสเตรเลียมีระบบการดูแลเด็กปฐมวัยที่มีราคาแพงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรามีการลงทุนในภาครัฐเพิ่มขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในรัฐต่างๆ และรัฐบาลกลาง ซึ่งมันเป็นข่าวดี และขณะนี้มันมีแรงผลักดันมากขึ้นที่เราอยากให้นโยบายนี้สำเร็จ เราไม่ควรที่จะจ่ายเงินสบทบเพื่ออุดหนุนค่าดูแลเด็กในแต่ละปีเท่านั้น แต่เราควรต้องพิจารณาการวางระบบใหม่ เพื่อให้การศึกษาปฐมวัยของเราไม่แพงและชาวออสเตรเลียทุกครัวเรือนสามารถเข้าถึงบริการนี้ได้"]]
หน่วยงานวิจัยยังต้องการให้ยกเลิกระบบเงินอุดหนุนการดูแลเด็ก และแทนที่ด้วยระบบที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง โดยศูนย์การศึกษาปฐมวัยจะได้รับงบประมาณสนับสนุนโดยตรง ซึ่งนายกรัฐมนตรี เอนโทนี อัลบานีซี เห็นด้วยกับการเสนอแนะดังกล่าว โดยชี้ว่า พรรคแรงงานของเขาเสนอนโยบาย ไชลด์แคร์ฟรี ในการเลือกตั้งระดับสหพันธรัฐครั้งล่าสุดด้วย นายกรัฐมนตรี อัลบานีซี เปิดเผยว่า
[["ผมคิดว่ารายงานนี้ เป็นการสนับสนุนเชิงบวกต่อการอภิปรายนโยบาย เราจะรอรายงานเพิ่มเติมจากคณะกรรมการเพิ่มผลผลิต อย่างไรก็ตาม ผมได้พูดไปหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า ระบบแบบ universal model เป็นระบบที่ชาติอื่นๆ ก็นำมาใช้ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ มีคุณค่าต่อประเทศ ส่งผลดีต่อครอบครัว ต่อเด็ก และต่อเศรษฐกิจของเราด้วย"]]
หัวหน้าฝ่ายนโยบายและการสนับสนุนของกลุ่มนายจ้าง หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งออสเตรเลีย เดวิด อเลกซานเดอร์
กล่าวว่าภาคธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของการสนับสนุนค่ามช้จ่ายในการดูแลเด็กของรัฐบาล เพราะมันเป็นการส่งเสริมแรงงานในระบบเศรษฐกิจ คุณ เดวิด อเลกซานเดอร์ อธิบายว่า
[["เราคิดว่าการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กของรับบาล - เป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับนายจ้างและครอบครัว เพราะมันช่วยให้ครอบครัวและผู้ปกครองมีอิสระในการทำงานมากขึ้น"]]
สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป การศึกษาในโรงเรียนถือเป็นภาคบังคับสำหรับเด็กๆ ในออสเตรเลียทุกคน ผ่านการศึกษาภาครัฐ
แต่ในช่วงปฐมวัย กลับไม่เป็นเช่นนั้น จะพบว่ามีบริษัทเอกชนกว่า ร้อยละ 70 ที่ให้บริการในภาคส่วนนี้
รายงานของ ACCC ประจำเดือนมกราคมเกี่ยวกับบริการ การเลี้ยงเด็ก พบว่า นโยบายที่ไม่ยืดหยุ่นในขณะนี้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของครอบครัวในออสเตรเลียทั้งหมดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวที่มีรายได้น้อย ครอบครัวในพื้นที่ส่วนภูมิภาค เด็กที่มีความพิการหรือมีความต้องการที่ซับซ้อน และครอบครัวที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษา
หน่วยงานกำกับดูแลแนะนำให้ ใช้นโยบายแบบผสมผสานทั้งด้านงบประมาณจากรัฐบาล และข้อบังคับที่เหมาะสมกับความต้องการของชุมชนและท้องถิ่นต่างๆ
จากรายงานดังกล่าวยังพบว่ากลุ่มที่มีแนวโน้มน้อยที่สุดที่จะลงทะเบียนในการศึกษาปฐมวัยและใช้บริการการดูแลเด็กคือกลุ่มของเด็กชนพื้นเมือง
เมื่อเดือนที่แล้ว [[7 พฤษภาคม]] รัฐบาลกลางได้เผยแพร่แผนงาน 10 ปีสำหรับเด็กอายุ 0-5 ปี ที่เรียกว่ายุทธศาสตร์ช่วงปีแรกๆ เป้าหมายคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นในการวางนโยบายการศึกษาปฐมวัย
และมีแผนปฏิบัติการ 3 แผนซึ่งสรุปขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมและงบประมาณที่ใช้ ซึ่งจะเปิดเผยต่อสาธารณะในปลายปีนี้
รายงานการสอบสวนขั้นสุดท้ายของคณะกรรมการเพิ่มผลผลิตเกี่ยวกับการศึกษาและการดูแลเด็กปฐมวัย มีกำหนดแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ [[30 มิถุนายน 2567]]
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่