ประเด็นสำคัญ
- ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ท้องถิ่นรัฐวิกตอเรียวันนี้พุ่งเป็น 11 ราย ติดเชื้อสะสม 51 ราย จำนวนสถานที่เสี่ยงแพร่เชื้อเพิ่มเป็น 279 จุด
- คลัสเตอร์โควิดในเอจแคร์ยังต้องจับตาหลังล็อกดาวน์ไปแล้ว 2 จุด พบพนักงานสถานดูแล 'อาแคร์ เมดสตัน' ติดเชื้อรายที่ 2 ไม่ได้รับวัคซีน-ทำงานหลายจุด
- ประธานเจ้าหน้าที่สาธารณสุข VIC ไม่ฟันธงขยายล็อกดาวน์พฤหัสฯ นี้ เผยต้องประเมินสถานการณ์รายวัน
31 พ.ค. พบผู้สูงอายุในสถานดูแลแห่งหนึ่งในนครเมลเบิร์น มีผลการตรวจหาไวรัสโคโรนาเป็นบวก หลังการเปิดเผยว่ามีพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในสถานดูแลแห่งเดียวกันติดเชื้อเพียงวันเดียว
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรัฐวิกตอเรียได้ประกาศว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ภายในชุมชนรวม 11 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดที่พบนับตั้งแต่การแพร่ระบาดครั้งล่าสุดที่เริ่มต้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็น 51 ราย และจำนวนผู้สัมผัสใกล้ชิดหลักอยู่ที่ราว 4,200 คน
โดยเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ มีการรายงานยอดผู้ติดเชื้อที่พบในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (30 พ.ค.) เป็นจำนวน 5 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 6 ราย ที่ได้มีการเปิดเผยในช่วงบ่ายวันนี้ เป็นยอดผู้ติดเชื้อที่พบหลังเวลาตัดรอบนับยอดเมื่อกลางดึกของคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งจะนำไปนับรวมกับยอดผู้ติดเชื้อในวันพรุ่งนี้ (1 มิ.ย.) อย่างเป็นทางการ
นายเจมส์ เมอร์ลิโน (James Merlino) รักษาการมุขมนตรีรัฐวิกตอเรีย กล่าวว่า รัฐวิกตอเรียกำลังเผชิญกับ “ความท้าทายอย่างมีนัยยะสำคัญ” ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อเพียงเล็กน้อยที่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้เป็นจำนวนมาก
“ผมต้องการที่จะย้ำอย่างชัดเจนกับทุกคนว่า การแพร่ระบาดครั้งนี้อาจถึงจุดที่เลวร้ายก่อนที่มันจะดีขึ้น” นายเมอร์ลิโน กล่าว
ด้านโฆษกของอาร์แคร์ ยืนยันว่า ผู้สูงอายุในสถานดูแลจำนวน 53 คน จากทั้งหมด 76 คน ให้ความยินยอมในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ และได้รับวัคซีนโดสแรกแล้วจนถึงขณะนี้ ขณะที่พนักงานทุกคนในสถานดูแลนั้นจะได้รับการฉีดวัคซีนโดสแรกหรือโดสที่ 2 ในวันนี้
“คำตอบก็คือ สถานดูแลผู้สูงอายุของรัฐบาลนั้น อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาลรัฐต่าง ๆ ขณะที่สถานดูแลผู้สูงอายุเอกชนนั้น รัฐบาลสหพันธรัฐเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ” นายเมอร์ลิโน กล่าว
ขณะที่จำนวนสถานที่ซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อในรัฐวิกตอเรียนั้นได้เพิ่มขึ้นเป็น 279 แห่งในวันนี้ มีกิจการห้างร้านต่าง ๆ ในพื้นที่ตะวันตกตอนในของนครเมลเบิร์นรวมอยู่ด้วย เช่นเดียวกับสถานดูแลผู้สูงอายุอาแคร์ เมดสตัน
ในจำนวนผู้ติดเชื้อ 5 รายที่ได้มีการรายงานเมื่อช่วงเช้าวันนี้นั้น ได้รวมถึงกรณีของพนักงานรายที่ 2 ของสถานดูแลผู้สูงอายุอาแคร์ เมดสตัน (Arcare Maidstone) ซึ่งไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโดสแรกเนื่องจากลาหยุดงานไปในช่วงการเปิดตัววัคซีน ผู้สูงอายุหญิงวัย 90 ปีภายในสถานดูแล และบุตรชายของพนักงานที่มีผลการตรวจหาไวรัสเป็นบวก เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (30 พ.ค.)
สำหรับผู้สูงอายุหญิงวัย 90 ปีนั้น ล่าสุด ได้รับการส่งตัวไปรับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการ และจนถึงขณะนี้ได้แสดงอาการของโควิด-19 เพียงเล็กน้อย ขณะที่ผู้สูงอายุที่เหลือทั้งหมดในสถานดูแลดังกล่าวทั้ง 75 คน ได้รับผลการตรวจหาไวรัสโควิด-19 เป็นลบ
โฆษกของอาร์แคร์ยืนยันว่า ผู้สูงอายุในสถานดูแลจำนวน 53 คน จากทั้งหมด 76 คน ให้ความยินยอมในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ และได้รับวัคซีนโดสแรกแล้วจนถึงขณะนี้ ขณะที่พนักงานทุกคนในสถานดูแลนั้นจะได้รับการฉีดวัคซีนโดสแรกหรือโดสที่ 2 ในวันนี้
นายเกร็ก ฮันท์ รัฐมนตรีสาธารณสุขออสเตรเลีย กล่าวว่า ร้อยละ 85 ของผู้เข้ารับการดูแลในสถานดูแลผู้สูงอายุที่ดำเนินการโดยเอกชน และร้อยละ 100 ของสถานดูแลผู้สูงอายุของรัฐวิกตอเรียนั้น ได้รับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 แล้ว
ศาสตราจารย์เบรตต์ ซัตทัน ประธานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขรัฐวิกตอเรีย กล่าวว่า ยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะขยายระยะเวลาล็อกดาวน์ออกไปจากวันพฤหัสบดีนี้หรือไม่ โดยเขาได้อธิบายถึงสถานการณ์ในวันนี้ว่า เป็นการประเมินในลักษณะรายวัน
“ด้วยจำนวน (ผู้ติดเชื้อ) ที่เพิ่มมากขึ้นในวันนี้ และสภาวการณ์ที่น่ากังวลโดยเฉพาะในสถานดูแลผู้สูงอายุ เรากำลังเผชิญกับไวรัสนี้ในระยะประชิด และมันมีความร้ายกาจมาก” ศาสตราจารย์ซัตทัน กล่าว
พนักงานสถานดูแลผู้สูงอายุทำงานหลายที่
มีคำถามเกิดขึ้นหลังมีการเปิดเผยว่า พนักงานสถานดูแลผู้สูงอายุออาแคร์ เมดสตัน รายที่ 2 ซึ่งมีผลการตรวจหาไวรัสโคโรนาเป็นบวก ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติงานในสถานดูแลผู้สูงอายุได้หลายแห่ง โดยมีการเปิดเผยในวันนี้ (31 พ.ค.) ว่าพนักงานคนดังกล่าวได้ปฏิบัติงานที่สถานดูแลผู้สูงอายุ บลูครอส ซันไชน์ (Bluecross Sunshine) ในวันที่ 26, 27 และ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้สถานดูแลผู้สูงอายุดังกล่าวต้องล็อกดาวน์ในขณะนี้
นายเมอร์ลิโน รักษาการมุขมนตรีรัฐวิกตอเรียได้ให้ความเห็นว่า “เป็นคำถามที่ดี” ที่ควรสะท้อนไปยังรัฐบาลสหพันธรัฐ ซึ่งมีความรับผิดชอบในการกำกับดูแลระบบสถานดูแลผู้สูงอายุของเอกชน
“คำตอบก็คือ สถานดูแลผู้สูงอายุของรัฐนั้น อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐบาลในรัฐต่าง ๆ ส่วนสถานดูแลผู้สูงอายุเอกชนนั้น อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐบาลสหพันธรัฐในการกำกับดูแล” นายเมอร์ลิโน กล่าว
ด้านศาสตราจารย์ซัตทัน กล่าวว่า การเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถทำงานระหว่างสถานดูแลได้นั้นมีความเสี่ยงอย่างมาก และจำเป็นที่จะต้องลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อระหว่างสถานดูแลผู้สูงอายุต่าง ๆ ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เมื่อใดก็ตามที่มันเกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นสถานดูแลผู้สูงอายุของรัฐบาลหรือเอกชน แต่คำถามอยู่ที่ว่า มาตรการบังคับ รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินและอื่น ๆ นั้นจะมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน และจะมีนโยบายในการจัดการอย่างไร” ศาสตราจารย์ซัตทัน กล่าว
ทั้งนี้ รัฐบาลรัฐวิกตอเรียได้ประกาศห้ามพนักงานจากสถานดูแลผู้สูงอายุของรัฐในการทำงานในสถานดูแลผู้สูงอายุอื่น ๆ นับตั้งแต่ช่วงการระบาดใหญ่ระลอก 2 ของไวรัสโคโรนาเมื่อปีที่ผ่านมา
นายมาร์ติน โฟลีย์ รัฐมนตรีสาธารณสุขรัฐวิกตอเรีย กล่าวว่า เข้าได้ต้อนรับการตัดสินใจของรัฐบาลสหพันธรัฐ ในการนำข้อบังคับให้พนักงานสามารถทำงานในสถานดูแลผู้สูงอายุได้เพียงแห่งเดียวกลับมาใช้อีกครั้ง หลังจากกฎดังกล่าวได้ถูกยกเลิกเมื่อปีที่ผ่านมา
“คุณคงต้องถามไปยังเครือจักรภพว่า พวกเขามีเหตุผลใดที่ไม่ดำเนินการบังคับใช้กฎระเบียบนั้นต่อไป ซึ่งผมเข้าใจในตอนนี้ว่าพวกเขาได้นำกลับมาใช้อีกครั้ง” นายโฟลีย์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยัง นายริชาร์ด คอลเบ็ก (Richard Colbeck) รัฐมนตรีด้านการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อขอความคิดเห็นในกรณีดังกล่าว
เมื่อวานนี้ (30 พ.ค.) ได้มีการล็อกดาวน์ชั่วคราวสถานดูแลผู้สูงอายุอาแคร์ เมดสตัน (Arcare Maidstone) โดยผู้สูงอายุที่เข้ารับการดูแลกำลังอยู่ระหว่างการกักแยกตนเอง หลังพบพนักงานคนหนึ่งในสถานดูแล ทราบรายละเอียดเป็นหญิงในวัยราว 50 ปี ชาวเมืองอัลโทนา (Altona) มีผลการตรวจหาไวรัสโคโรนาเป็นบวก แม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 โดสแรก เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมา
พนักงานหญิงคนดังกล่าว เป็นหนึ่งในจำนวนผู้ติดเชื้อ 5 ราย ที่ได้มีการรายงานเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (30 พ.ค.) โดยมีความเป็นไปได้ว่า เธออาจจะได้รับเชื้อในช่วงเวลาที่มาทำงานในสถานดูแลดังกล่าว ระหว่างวันที่ 26 – 27 พ.ค. ที่ผ่านมา
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจจาก เอสบีเอส ไทย
กว่า 40% ของชาวออสซีที่ขอความช่วยเหลือฉุกเฉินต้องอดมื้อกินมื้อ