รายการ เอสบีเอส ไทย ออนไลน์ ออกอากาศสดหนึ่งชั่วโมงเต็ม กดฟังได้ที่เว็บไซต์ ทุกจันทร์และพฤหัสบดี 22.00 น. (เวลาซิดนีย์/เมลเบิร์น) หลังจากนั้นฟังซ้ำได้ทุกเมื่อ
วันนาก อนัน ปรัม ใช้นิ้วลูบไล้รอยสักสีเข้มบนผิวของเขา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เตือนใจถึงชีวิตบนเรือประมงในท้องทะเลเปิด
แม้รูปตะขาบ เสือ และแมงป่องนั้นจะซีดจางลง ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงทักษะทางศิลปะของเขา
สิบสามปีที่แล้ว เขายากจนเกินกว่าจะสามารถชำระค่าโรงพยาบาลให้กับภรรยาซึ่งตั้งครรภ์ของเขาได้ เขาจึงเริ่มออกหางานที่บริเวณชายแดนกัมพูชาและไทย ซึ่งที่นั่นเองเขาถูกลักพาตัว ควบคุมตัว และขายไปเป็นทาสบนเรือประมงเขาจำได้อย่างแจ่มชัดถึงความยากลำบากของช่วงเวลาสามปีนั้น โดยเขาทำงานวันละ 20 ชั่วโมง ขาดอาหาร ขาดการพักผ่อน และปราศจากบุคคลที่เขารัก
วันนาก อนัน ปรัม อดีตทาสบนเรือประมงไทย (Image source: SBS News/supplied) Source: SBS News/supplied
“ผมจะกำหนดจิตใจให้อยู่ในเรื่องเดียวเสมอ ว่าผมทำงานและก็หวังว่าจะได้กลับมาพบกับครอบครัวของผมอีกครั้ง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง” ชายวัย 40 ปีกล่าวกับเอสบีเอสนิวส์
ซึ่งในช่วงนั้นเองที่วันนากตระหนักว่า ความสามารถพิเศษในการเป็นช่างรอยสัก ได้ช่วยรักษาให้เขานั้นปลอดภัยจากความรุนแรงต่างๆ ที่ทาสคนอื่นๆ ต้องเผชิญในระหว่างที่เขาถูกควบคุมตัว โดยเขาเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ที่ “โชคดี” คนหนึ่ง
การสักลายทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าลูกเรือและทำให้เขารอดพ้นจากการการทารุณกรรมที่สาหัสที่สุด แต่เขาก็ไม่มีวันลืมความน่าสะพรึงกลัวที่เขาได้เห็นเกิดขึ้นกับผู้อื่นเขากล่าวว่า “คนงานถูกทุบตีและชกต่อย”
Source: The Dead Eye and the Deep Blue Sea
“สุดท้ายพวกเขาก็ฆ่ากันเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม”
มีครั้งหนึ่งซึ่งเขากล่าวว่าเขาเห็นชายคนหนึ่งถูกตัดศีรษะและร่างของเขาก็ถูกทิ้งลงทะเลไป
มีครั้งหนึ่งซึ่งเขากล่าวว่าเขาเห็นชายคนหนึ่งถูกตัดศีรษะและร่างของเขาก็ถูกทิ้งลงทะเลไป
“พวกเขาตัดศีรษะกันเองแล้วก็โยนออกนอกเรือ” เขากล่าว
ปัญหาระดับโลก
หากอ้างอิงจากดัชนีทาสโลก (Global Slavery Index) ทั่วโลกนั้นมีผูคนกว่า 40 ล้านคนต่อปีที่ตกเป็นทาส ไม่ว่าจะมองในวันไหนของปีก็ตาม
กว่าครึ่งหนึ่งนั้นถูกบีบบังคับให้ใช้แรงงาน โดยทาสยุคใหม่นั้นพบได้มากที่สุดในแอฟริกา ตามมาด้วยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ซึ่งนับเป็นกว่า 71 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตกเป็นทาสวันนากได้เดินทางมายังออสเตรเลียเพื่อรณรงค์ให้เกิดความสนในต่อการค้ามนุษย์ที่เขาได้ประสบมา ซึ่งได้ทำให้เขานั้นกลายเป็นทั้งเป็นนักรบวัยเด็ก เป็นพระ และเป็นทาส
Vannak is sharing his story to raise awareness of modern slavery. Source: Supplied
เขาถูกเชิญมาเป็นองค์ปาฐกที่การสัมมนาแห่งหนึ่งในนครซิดนีย์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จัดโดยกองกำลังต่อต้านทาส (Anti-Slavery Taskforce) ของอัครมุขนายกคาทอลิกแห่งซิดนีย์ (Catholic Archdiocese of Sydney) และเรื่องราวของเขาก็ถูกเล่าขานในนิยายภาพเรื่อง เดอะเดดอายแอนด์เดอะดีพบลูซี (The Dead Eye and the Deep Blue Sea) ซึ่งเขานั้นเป็นผู้วาดภาพประกอบเองเขาเผยว่า เขาไม่คิดว่าจะมีใครเชื่อเรื่องราวชีวิตของเขา ถ้าหากว่าเขาไม่วาดมันออกมา
Source: The Dead Eye and the Deep Blue Sea
“ผมวาดรูปลงในหนังสือนี้ เพื่อให้ผู้คนสามารถเห็นได้โดยชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น” เขากล่าว
“ผมต้องการเพียงแค่ให้ผู้คนนั้นทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับคนงานคนอื่นๆ”
ตกเป็นทาสซ้ำสอง
วันหนึ่งขณะที่เรือประมงของวันนากกำลังหาปลาใกล้กับชายฝั่งประเทศมาเลเซีย เขาและ(ทาส)อีกคนหนึ่งก็หลบหนีออกมา
เมื่อเรือหยุด ทั้งคู่ก็กระโดดลงทะเล ว่ายขึ้นฝั่ง และก็วิ่งหนีเข้าไปในป่า
“ตอนที่กระโดดลงทะเล ผมคิดถึงครอบครัวของผมเป็นอย่างมาก” เขากล่าว
“ผมเพียงต้องการที่จะเป็นอิสระและกลับบ้าน ... และบอกเล่าเรื่องราวที่ผมต้องจมอยู่กับมันให้กับคนอื่นๆ บนโลกนี้ได้รู้”
ตอนที่กระโดดลงทะเล ผมคิดถึงครอบครัวของผมเป็นอย่างมาก ผมเพียงต้องการเป็นอิสระ
แต่เพียงไม่นานความหวังของวันนากที่จะเป็นอิสระจากการค้าทาสก็พังพินาศลงเขาต้องใช้แรงงานอย่างหนักอีกหนึ่งปี ก่อนที่วันนากจะถูกส่งกลับไปหาครอบครัวของเขาเมื่อปี ค.ศ. 2010 โดยได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งหนึ่งในกัมพูชา
Vannak Anan Prum shows off a tiger tattoo from his time enslaved on a Thai fishing vessel. Source: SBS News
“ผมไม่สามารถจะอธิบายความรู้สึกนั้นได้... ผมมีความสุขมากที่ได้กลับไป” เขากล่าวเมื่อถึงบ้าน วันนากก็เริ่มต้นเขียนชีวประวัติของเขา
Source: The Dead Eye and the Deep Blue Sea
“ผมเพียงต้องการที่จะยืนยันว่าชีวิตของผมและผู้คนเหล่านั้นเป็นอย่างไรบนเรือประมงลำนั้น” เขากล่าว
“พวกเราทำงานกันหนักขนาดไหนในฐานะทาส ผมเพียงต้องการให้โลกรู้เกี่ยวกับการค้ามนุษย์”
ประเทศออสเตรเลียได้นำพระราชบัญญัติทาสยุคใหม่ (Modern Slavery Act) มาใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม ปีนี้
กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้ธุรกิจซึ่งมีรายรับรวม (consolidated revenue) $100 ล้านดอลลาร์ต่อปี(ขึ้นไป)ต้องรายงานการดำเนินการด้านต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อประเด็นทาสยุคใหม่ทั้งในการปฏิบัติงานและในสายส่งจากที่อื่น (supply chain)ทว่าหากอ้างอิงจากงานวิจัยโดยมหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย ธุรกิจเป็นจำนวนมากนั้น “ไม่มีความพร้อม” ต่อการรายงานเรื่องทาสยุคใหม่
Vannak being honoured with an award, presented by Hillary Clinton. Source: Flickr
งานวิจัยพบว่าสองในสามของบริษัทต่างๆ ในดัชนี(ตลาดหลักทรัพย์) ASX 100 นั้นไม่สามารถที่จะทำแถลงการณ์อันเชื่อถือได้ในเรื่องความเป็นไปได้ของการฉกฉวยผลประโยชน์จากผู้ใช้แรงงานที่อาจมีอยู่(ในการปฏิบัติการของบริษัท)
วันนากเชื่อว่ารัฐบาลนานาชาติและบริษัทเอกชนจำเป็นจะต้องร่วมมือกันเพื่อรับผิดชอบและเผชิญหน้ากับการค้ามนุษย์
“ความหวังของผมก็คือทุกๆ ประเทศ และองค์กรต่างๆ ในโลกนั้นมาหยุดยั้งเรื่องนี้ ... โดยทันที” เขากล่าว
“ที่ผ่านมานั้นมันเนิ่นนานเกินไปแล้ว”
เดอะเดดอายแอนด์เดอะดีพบลูซี: หนังสือภาพอัตชีวประวัติของทาสยุคใหม่ (The Dead Eye and the Deep Blue Sea: A Graphic Memoir of Modern Slavery) ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เซเวนสตอรีส์ (Seven Stories Press) และวางจำหน่ายแล้วผ่านเครือเพงกวินแรนดอมเฮาส์ (Penguin Random House)
เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
แรงงานทาสในแหล่งอาหารทะเลของออสเตรเลีย (ฉบับเสียงไทย)
เรื่องราวที่น่าสนใจจาก เอสบีเอส ไทย
กว่าจะมีวันนี้ของทนายบุญจันทร์ แสนภูมี