ประเด็นสำคัญ
- จากสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในรัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐวิกตอเรีย “ที่ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว” ได้มีการประกาศผ่อนคลายมาตรการจำกัดห้ามจำนวนมากในทั้ง 2 รัฐ ซึ่งเป็นเขตปกครองแรก ๆ ในออสเตรเลียที่ทำเช่นนี้
- ผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะไม่ต้องกักตัวอีกต่อไป แต่ต้องใส่หน้ากากและตรวจเชื้อให้ได้ผลลบจำนวน 5 ครั้งในระยะเวลา 7 วัน ส่วนคนที่ผลเป็นบวกกักตัวตามปกติ
- บรรดานักธุรกิจเรียกร้องให้มีการยกเลิกการกักตัวผู้สัมผัสใกล้ชิดมานานแล้ว โดยระบุว่าจะช่วยแก้ปัญหาขาดคนทำงานได้ แต่นักระบาดวิทยามองว่ายังคงต้องป้องกันผู้คนในสถานที่ทำงานให้ดี ถึงแม้มาตรการจะคลายแต่โควิด-19 จะยังไม่หมดไป หากไม่มีกักตัวแล้วก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี
(20 เม.ย.) มาตรการจำกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในรัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐวิกตอเรียจำนวนมากจะถูกยกเลิกก่อนถึงช่วงวันหยุดยาวแอนแซกเดย์ (ANZAC Day) ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุขเปิดเผยว่า ทั้งสองรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดของสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกที่ 2 ของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนไปแล้ว ทำให้ทั้งสองรัฐกำลังจะเหลือข้อจำกัดห้ามต่าง ๆ เกี่ยวกับโควิด-19 น้อยลงไปมาก และเป็นเขตปกครองแรก ๆ ในออสเตรเลียที่ทำเช่นนี้
มาตรการสำคัญที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ คือการสิ้นสุดมาตรการกักตัว 7 วันสำหรับผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรดาผู้นำในภาคธุรกิจได้ผลักดันมาตลอด เพื่อผ่อนคลายภาวะขาดแคลนแรงงาน
ที่รัฐวิกตอเรีย มาตรการจำกัดการแพร่ระบาดจำนวนมากจะได้รับการผ่อนคลายตั้งแต่เวลา 23:59 น. ของวันศุกร์ที่ 22 เม.ย.นี้ เช่นเดียวกับยกเลิกมาตรการสแกนคิวอาร์โค้ดและการเช็คอิน ยกเลิกการแสดงใบรับรองการฉีดวัคซีน และยกเลิกข้อกำหนดว่าต้องฉีดวัคซีนโควิดครบ 2 โดสก่อนเข้ารับบริการในสถานบริการต่าง ๆ ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ และสนามกีฬา
นอกจากนี้ การสวมใส่หน้ากากอนามัยในโรงเรียน สถานดูแลเด็กเล็ก รวมถึงสถานบริการและร้านค้าปลีกต่าง ๆ จะไม่จำเป็นอีกต่อไป ยกเว้นในระบบขนส่งสาธารณะ สนามบิน สถานดูแลผู้สูงอายุ และสถานที่ด้านความยุติธรรม
ผู้สัมผัสใกล้ชิดของผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันแล้วจะไม่ต้องกักตัว แต่จะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ภายในอาคารสถานที่ หลีกเลี่ยงสถานที่ซึ่งมีความเสี่ยง และต้องตรวจเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจนแบบทราบผลรวดเร็ว (RAT) และได้รับผลตรวจเป็นลบจำนวน 5 ครั้งในระยะเวลา 7 วัน นับตั้งแต่ได้รับการระบุว่าเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยัน ส่วนผู้ที่ได้รับผลการตรวจหาเป็นบวกจะยังคงต้องกักตัวเป็นเวลา 7 วัน
เมื่อเดือนก่อน คณะกรรมการหลักการคุ้มครองสุขภาพแห่งออสเตรเลียได้แนะนำว่า เมื่อจุดสูงสุดของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน บีเอ.2 ระลอกนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ให้แทนที่มาตรการกักตัวเป็นเวลา 7 วันด้วยมาตรการอื่น ๆ
ด้าน นายมาร์ติน โฟลีย์ รัฐมนตรีสาธารณสุขรัฐวิกตอเรีย กล่าวว่า สิ่งนั้นได้เกิดขึ้นแล้วในรัฐวิกตอเรีย
“เรารู้ว่าจะมีข่วงขาขึ้นและขาลงในการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย บีเอ.2 แต่สิ่งที่เรารู้ก็คือเราผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว และเราสามารถพิจารณากลุ่มมาตรการที่สมเหตุสมผลเหล่านี้ที่จะพาเราเข้าสู่ฤดูหนาวที่ยังมีความท้าทายได้ มีเพียงมาตรการที่สำคัญที่สุดเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่” นายโฟลีย์ กล่าว
ส่วนที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ นายโดมินิก เพอร์โรต์เทต์ มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า ตั้งแต่เวลา 18:00 น. ของวันศุกร์ที่ 22 เม.ย. นี้ ข้อกำหนดให้ผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต้องกักตัวเป็นเวลา 7 วันจะสิ้นสุดลง โดยผู้สัมผัสใกล้ชิดจะต้องตรวจเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจนแบบทราบผลเร็ว (ATK) สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ภายในอาคารสถานที่ และทำงานจากที่บ้านหากเป็นไปได้ซึ่งจะต้องแจ้งกับนายจ้าง และหลีกเลี่ยงสถานที่ซึ่งมีความเสี่ยงสูง เช่น โรงพยาบาล และสถานดูแลผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ รัฐนิวเซาท์เวลส์ยังเตรียมที่จะยุบโครงการโรงแรมกักกันโรค เช่นเดียวกับการยกเลิกการใช้สัญลักษณ์จุดสีเขียวที่แสดงตำแหน่งที่สามารถนั่งได้ในระบบขนส่งสาธารณะ สำหรับการบังคับสวมใส่หน้ากากอนามัยนั้นจะยังคงบังคับใช้อยู่ในระบบขนส่งสาธารณะ
นายโดมินิก เพอร์โรต์เทต์ มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า ถึงแม้จะไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการแพร่ระบาดใหญ่ แต่ก็เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ของรัฐนิวเซาท์เวลส์
“มันเป็นวันที่ยิ่งใหญ่สำหรับรัฐของเรา มันเป็นวันที่เราจะได้ทบทวนว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง มันคือ 2 ปีที่ยากลำบากยิ่งสำหรับผู้คนในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ตั้งแต่เรื่องสุขภาพที่หลายคนต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป หลายกิจการที่ต้องปิดตัวลงไปและบ้างก็หาทางเอาตัวรอด หลายคนที่ต้องตกงานและถูกเลิกจ้างมาหลายปี จนถึงวันที่เราอยู่ตรงนี้พร้อมกับอัตราการว่างงานที่ต่ำกว่า 4% มันช่างเป็นการเดินทางที่น่าจดจำ ... ขอให้เรามุ่งเป้าไปที่ความสำเร็จในขณะนี้” นายเพอร์โรต์เทต์ กล่าว
นายสกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่า ออสเตรเลีย “ได้ผ่านการแพร่ระบาดใหญ่นี้อย่างแข็งแรง”
“ผมต้อนรับข้อเท็จจริงที่ว่า ในรัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐวิกตอเรีย พวกเขากำลังกลับสู่ความปกติ ฮาเลลูยา” นายมอร์ริสัน กล่าว
“เราได้รอมานานสำหรับสิ่งเหล่านี้ และผมมั่นใจว่ารัฐต่าง ๆ ที่เหลือจะเดินตามแนวทางเดียวกันนี้”
บรรดาผู้นำธุรกิจต่าง ๆ ได้เรียกร้องมานานให้มีการยกเลิกกฎกักตัว 7 วันสำหรับผู้สัมผัสใกล้ชิด โดยระบุว่าจะเป็นการคลายแรงกดดันของภาวะขาดแคลนคนทำงานสำหรับกิจการต่าง ๆ ที่กำลังพยายามฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19
นางแนนซี แบ็กส์เตอร์ (Nancy Baxter) นักระบาดวิทยาคลินิก และหัวหน้าสถาบันแห่งประชากรและสุขภาพระดับโลกเมลเบิร์น (Melbourne School of Population and Global Health) กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ 1 ใน 8 ที่ประชาชนซึ่งสัมผัสเชื้อในครัวเรือนจะได้รับเชื้อโควิด-19
“เราต้องปกป้องผู้คนจากผู้ที่สัมผัสเชื้อในครัวเรือนเหล่านั้น หากเราปล่อยให้พวกเขาออกจากบ้านโดยไม่มีการกักต้ว” นางแบ็กซ์เตอร์ กล่าวกับโทรทัศน์เอบีซีในวันนี้ (20 เม.ย.)
“คุณจะต้องการให้พวกเขาตรวจเชื้อด้วยชุดตรวจ RAT คุณจะต้องการให้พวกเขาใส่หน้ากากอนามัย และไม่ใช่หน้ากากอะไรก็ได้ แต่เป็นหน้ากากคุณภาพสูงอย่าง P2 หรือ N95”
นางแบ็กซ์เตอร์ กล่าวอีกว่า นายจ้างควรที่จะให้ผู้คนที่เป็นผู้สัมผัสเชื้อเหล่านั้นอยู่แยกห่าง หรือมีระยะห่างจากคนทำงานคนอื่น ๆ โดยระบุว่า “เพราะมันจะกลายเป็นความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เชื้อแพร่สู่สถานที่ทำงานสำหรับบุคคลเหล่านั้น”
“มันคือเรื่องที่เหมาะสม (ทางการเมือง) กับการที่มาตรการเหล่านี้จะได้รับการผ่อนคลาย เพราะมันเป็นการส่งสัญญาณว่าโควิดได้จบไปแล้ว แต่ปัญหาก็คือโควิดไม่ได้เป็นแบบนั้น และสิ่งที่เรากำลังเห็นในออสเตรเลียตอนนี้ก็คือเป็นประเทศหนึ่งที่มีผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่รายวันสูงติดอันดับโลก”
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์
บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจจาก เอสบีเอส ไทย
ค่าเช่าบ้านสูงทำอัตราคนไร้บ้านและการเลือกปฏิบัติสูงตาม