นายอิวาน มิลัต (Ivan Milat) ฆาตกรต่อเนื่องเจ้าของคดีสะเทือนขวัญสังหาร 7 นักท่องเที่ยวสะพายเป้ และทิ้งร่างไว้ในป่าเบลังกโล (Belanglo State Forest) ทางตอนใต้ของนครซิดนีย์ในช่วงปี 1989 – 1992 ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อวันอาทิตย์ 27 ต.ค. 2019 เวลา 04:07 น. ที่โรงพยาบาลเรือนจำลองเบย์ (Long Bay jail’s hospital) ด้วยวัย 74 ปี จากโรคมะเร็งหลอดอาหารและกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย หลังรับการรักษาด้วยเคมีบำบัดมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2019
ชายผู้เป็นอดีตพนักงานซ่อมถนนรายนี้ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์จับกุมเมื่อปี 1994 และถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกตลอดชีวิตในปี 1996 โดยเรื่องราวของเขาถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ดำมืดที่สุดในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียยุคใหม่
นางอแมนดา โฮเวิร์ด (Amada Howard) นักอาชญาวิทยาที่มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับฆาตกรต่อเนื่องจากทั่วโลกอันเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยของเธอ กล่าวถึงจดหมายที่นายมิลัตเขียนถึงเธอเมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมา
“ฉันไม่คิดว่าจะมีใครโหดร้ายไปกว่า นายอิวาน มิลัต เขาเป็นหนึ่งในฆาตกรที่ไม่มีอะไรที่เขาทำได้ดีไปกว่าการล่าเพื่อสังหารเหยื่อ” นางโฮเวิร์ดกล่าว
นายแอนโทนี โรเบิร์ตส์ (Anthony Roberts) รัฐมนตรีกรมทัณฑสถานนิวเซาท์เวลส์ ได้กล่าวถึงนายมิลัตอย่างขวานผ่าซาก ในวันที่เขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
“เขาจะเน่าตายในนรก ที่ผ่านมาเขาไม่เคยแสดงความสำนึกผิด เขาถูกจำคุกชั่วชีวิตเพื่อให้ได้รับโทษจากสิ่งที่ได้ทำลงไป การรับโทษโทษนั้นดำเนินต่อไป และเขาได้เสียชีวิตในเรือนจำ” นายโรเบิร์ตส์กล่าว
นายโรเบิร์ตส์กล่าวอีกว่า เขาคือผู้ทำให้แน่ใจว่า นายมิลัตได้รับการย้ายจากโรงพยาบาลรัฐมายังเรือนจำโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้เปลืองพื้นที่สำหรับคนไข้ในโรงพยาบาล
“เขา (นายมิลัต) ถูกตัดสินให้ตายในเรือนจำ เขาก็ต้องตายในเรือนจำ” นายโรเบิร์ตส์กล่าว
แม้มะเร็งจะพรากชีวิตของนายมิลัตไปในช่วงบั้นปลาย แต่เหยื่อเคราะห์ร้ายที่ถูกสังหารด้วยน้ำมือของเขานั้นถูกพรากชีวิตไปในวัยเยาว์
“วัยรุ่น 7 คนที่ถูกฆาตกรรม อยู่ในวัยที่มีโอกาสมากมายในชีวิต ทั้งการท่องเที่ยว การศึกษา ความรัก ความสุข ครอบครัว จนไปถึงการใช้ชีวิตจนถึงวัยแก่ชรา” นายเดวิด ฮันท์ (David Hunt) ผู้พิพากษาให้นายมิลัตต้องรับโทษจำคุกตลอดชีวิตในปี 1996 กล่าว
“มันชัดเจนว่า วัยรุ่นเหล่านั้นเผชิญกับการกระทำของเขาที่ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ และอยู่ในความทุกข์ทรมานอย่างเหลือเชื่อ”
“พวกเขาต้องตกอยู่ในความกลัวอย่างมาก และคงใช้เวลานานกว่าที่พวกเขาจะเสียชีวิต”
NSW police search Belanglo State Forest in the hunt for fresh human bones. Milat used the heavily wooded forest as a dumping ground for bodies. Source: FAIRFAX POOL
เส้นทางชีวิตสู่ฆาตกรสังหารโหด
นายอิวาน มิลัต เกิดเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 1944 เป็นบุตร 1 ใน 14 คนของนางมาร์กาเร็ต และนายสตีเวน มิลัต มารดาชาวออสเตรเลีย และบิดาสัญชาติยูโกสลาเวีย ซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันตกของนครซิดนีย์ เขาออกจากโรงเรียนเมื่ออายุ 15 ปี และมีความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่บ้างเล็กน้อย โดยเขาทำงานเป็นคนซ่อมถนนอยู่หลายปีในพื้นที่รอบนครซิดนีย์ และเมืองต่าง ๆ ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ชายผู้ยอมรับอย่างเปิดเผยว่ามีความหลงใหลในอาวุธปืนรายนี้ เป็นพนักงานที่มีความซื่อสัตย์ จนหัวหน้าของเขาคนหนึ่งถึงกับบอกว่า “เขาเป็นพนักงานที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยพบเห็น”
The killer was known to have made a leather holster for a revolver and "ran around like a cowboy and called himself Tex". Source: Supplied
Ivan Milat was noted as being "gun crazy" by his ex-wife. Source: ABC Australia
แคเรน อดีตภรรยาของเขา ซึ่งสิ้นสุดความสัมพันธ์ในปี 1987 หลังแต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกันมาราว 4 ปี อธิบายถึงเขาว่าเป็น “คนบ้าปืน” โดยเล่าถึงกิจกรรมฆ่าจิงโจ้ของเขา เมื่อได้ไปเที่ยวที่ป่าเบลังกโล (Belanglo State Forest)
“อิวานเอาปืนไรเฟิลออกมายิงจิงโจ้ตัวแรก จากนั้นก็ยิงอีกตัวหนึ่ง เขาปาดคอมัน และก็เตะมันอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ามันตายสนิท” แคเรนเล่า
เหตุการณ์ในวันนั้น กลายเป็นเค้าโครงของเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา เมื่อนายมิลัตได้ก่อเหตุฆาตกรรมนักท่องเที่ยวสะพายเป้ที่โบกรถข้างทาง 7 คน ในช่วงปี 1989 - 1992
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคือ นางเดโบราห์ เอเวอริสต์ (Deborah Everist) และนายเจมส์ กิบสัน (James Gibson) อายุ 19 ปี นักเดินทางจากนครเมลเบิร์น นายซิโมน ชมิเดิล (Simone Schmidl) อายุ 21 ปี และนางอันยา ฮาบไชด์ (Anya Habschied) อายุ 20 ปี นักเดินทางจากเยอรมนี นายกาบอร์ นอยกูบาวา (Gabor Neugebauer) อายุ 21 ปี และเพื่อนชาวอังกฤษของเขา นางโจแอน วอลเตอร์ส (Joanne Walters) อายุ 22 ปี และนางแคโรไลน์ คลาก (Caroline Clarke) อายุ 21 ปี
ร่างของพวกเขาและเธอถูกพบทิ้งไว้ในป่าซึ่งถูกปกคลุมด้วยใบไม้และกิ่งไม้ ในช่วงเวลาระหว่างเดือนกันยายน 1992 – พฤศจิกายน 1993 โดยมีผู้เสียชีวิตคนหนึ่งถูกตัดศีรษะ ส่วนอีกคนหนึ่งถูกอาวุธปืนยิงที่ศีรษะ 10 นัด หลายคนถูกแทงอย่างสาหัสจนกระดูกแตก บางส่วนถูกอุดปากหรือถูกมัด และมีบางคนที่คาดว่าจะถูกเขาล่วงละเมิดทางเพศคดีอาชญากรรมของเขาเป็นข่าวหน้าหนึ่งไปทั่วโลกในเวลานั้น ทำลายความน่าเชื่อถือของออสเตรเลียในฐานะสวรรค์ราคาย่อมเยาว์ของนักเดินทางหนุ่มสาว
Milat victim Deborah Everist. Source: Supplied
หลายปีที่ผ่านมา นายมิลัตมีความเกี่ยวโยงกับการหายตัวไปของหนุ่มสาวหลายคน ซึ่งเขาปฏิเสธความเกี่ยวข้อง และยืนยันความบริสุทธิ์มาโดยตลอด
จุดเปลี่ยนสำคัญสู่การจับกุม
ปี 1990 กุญแจสำคัญที่นำไปสู่การจับกุมนายมิลัตได้ปรากฎ นั่นคือหลักฐานที่มาจาก นายพอล อันยีนส์ (Paul Onions) นักเดินทางชาวอังกฤษ ซึ่งเดินทางไปทั่วออสเตรเลีย โดยนายมิลัตได้จอดรับนายอันยีนส์ขึ้นรถ
นายไคลว์ สมอลล์ (Clive Small) เจ้าหน้าที่ตำรวจเกษียณอายุราชการ ที่เป็นผู้นำทีมสืบสวนการฆาตกรรมนักเดินทางสะพายเป้ กล่าวว่า นายอันยีนส์มีโอกาสน้อยมากที่จะหลบหนีเงื้อมมือของเขาออกมาได้
“นายมิลัตอ้างว่าเขาต้องหยุดรถ และเมื่อรถหยุด นักเดินทางคนนี้เห็นว่านายมิลัตกำลังเอื้อมมือไปใต้ที่นั่ง ซึ่งมีอาวุธอยู่ตรงนั้น นายอันยีนส์ใช้โอกาสนี้วิ่งหนีออกไปตามถนน ซึ่งระหว่างนั้นก็ถูกนายมิลัตไล่ตามพร้อมกับใช้ปืนยิงใส่” อดีตเจ้าหน้าทื่ตำรวจสมอลล์กล่าว
“จากนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ขับรถมาจากแคนเบอร์ราได้จอดรับนายอันยีนส์ขึ้นรถ ผมประหลาดใจที่เธอหยุดรถรับเขา แต่นั่นคือสิ่งที่เธอทำถูกต้อง เธอได้ช่วยชีวิตนายอันยีนส์”
หลายปีต่อมา นายอันยีนส์ ซึ่งเผชิญความเครียดจากเหตุสะเทือนขวัญดังกล่าว ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนที่ทำข่าวสืบสวน และได้ติดต่อไปยังกรมตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์ เขากลับไปให้หลักฐานที่ออสเตรเลียและชี้ตัวว่า นายอิวาน มิลัต คือชายผู้ที่พยายามจะฆ่าเขา
นอกจากนี้ บิดาของนางแครอไลน์ คลาก หนึ่งในเจ็ดนักเดินทางที่ถูกฆาตกรรมพร้อมกับนางโจแอน วอลเตอร์ส เพื่อนของเธอ บอกว่าครอบครับของพวกเขาคิดถึงลูกสาวตลอดเวลา
แม้จะมีหลักฐานจำนวนมากในการพิจารณาคดี แต่นายมิลัตยังคงจูงใจให้ครอบครัวของเขาเชื่อว่า เขาไม่มีความผิด
นายอลิสแตร์ ชิปซีย์ (Alistair Shipsey) ยังคงยืนยันว่า ลุงของเขาไม่มีความผิด
“ผมรู้ว่าเขาบริสุทธิ์ มันไม่มีทางที่อะไรจะเปลี่ยนแปลง ถ้าคุณอ่านจดหมายของเขาทุกฉบับ จดหมายที่ผ่านมากว่า 24 ปี ความพยายามของเขาอยู่ในนั้น ผมรู้ว่าเขาบริสุทธิ์” นายชิบซีย์กล่าว
นายมิลัตได้เข้าฟังการพิจารณาคดีเมื่อปี 1996 ด้วยท่าทางที่ใจเย็น ในขณะที่ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับหลักฐานกองใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า ระหว่างการพิจารณาคดีมีข้อมูลนับร้อยชิ้นที่เชื่อมโยงถึงการฆาตกรรม ซึ่งรวมถึงของใช้ส่วนตัวของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย เช่น เสื้อเจอร์ซีย์ของนางคลาก หนึ่งในเจ็ดนักเดินทางที่ถูกนายมิลัตฆาตกรรม ซึ่งคล้ายกับเสื้อที่นายมิลัตได้ให้กับเพื่อนสาวของเขา
พนักงานอัยการได้กล่าวกับนายมิลัตว่า “มีความอุกอาจ และมั่นใจในตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ” โดยในปีเดียวกัน นายอิวาน มิลัต ถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต
ชื่อเสียงโด่งดังแม้ถูกจองจำจนวาระสุดท้าย
เมื่อ 10 ปีก่อน นายมิลัตได้ตัดนิ้วมือของตัวเองด้วยมีดพลาสติก ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ ใส่ซองจดหมาย จ่าหน้าซอง และฝากเจ้าหน้าที่เรือนจำนำส่งให้กับประธานศาลสูงของออสเตรเลียในปี 2001 นายมิลัตกลืนมีดโกน ลวดเย็บกระดาษ และโซ่เหล็กเส้นเล็ก และในช่วงปลายปีนั้น เขาก็ยังกลืนอะไหล่ของระบบชักโครกจากโถสุขภัณฑ์ในเรือนจำ
Ivan Milat driven back to prison after cancer treatment. Source: Seven Network
ต่อมาในปี 2010 เกิดเรื่องสะเทือนใจแบบเดียวกันนี้อีกครั้ง เมื่อ นายแมทธิว มิลัต (Matthew Milat) หลานชายของเขาเลือกที่จะเดินรอยตาม โดยการหลอกเพื่อนวัย 17 ปีของเขาเข้าไปในป่าเบลังกโล ซึ่งเป็นสถานที่ทิ้งศพของนักเดินทางทั้ง 7 คนเมื่อหลายสิบปีก่อน และใช้ขวานฆาตกรรมจนเสียชีวิต และโอ้อวดในวันต่อมาว่า “คุณรู้จักตัวฉัน ครอบครัวของฉัน คุณรู้จักนามสกุลมิลัต ผมทำให้สิงที่พวกเขาทำ”เจ้าหน้าที่ทัณฑสถานระบุในแถลงการณ์ว่า ร่างของนายอิวาน มิลัต จะถูกนำส่งชันสูตรพลิกศพโดยสำนักงานนิติวิทยารัฐนิวเซาท์เวลส์
Matthew Milat, the great-nephew of Ivan Milat, is escorted from the King Street courts in 2012. Milat was sentenced to 43 years jail. Source: AAP
“ทุกการเสียชีวิตในทัณฑสถานนั้น จะต้องได้รับการชันสูตรพลิกศพ แม้จะเป็นการเสียชีวิตด้วยเหตุผลทางธรรมชาติ” โฆษกเรือนจำนิวเซาท์เวลส์กล่าว
รายการ เอสบีเอส ไทย ออนไลน์ ออกอากาศสดหนึ่งชั่วโมงเต็ม กดฟังได้ที่เว็บไซต์ ทุกจันทร์และพฤหัสบดี 22.00 น. (เวลาซิดนีย์/เมลเบิร์น) หลังจากนั้นฟังซ้ำได้ทุกเมื่อ
ติดตาม เอสบีเอส ไทย ทางเฟซบุ๊กได้ที่
เรื่องราวที่น่าสนใจจาก เอสบีเอส ไทย
ชาวนิวเซาท์เวลส์เกือบล้านเผชิญความยากจน