This article is more than 3 years old
สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับบูสเตอร์ช็อตหลังพบเชื้อสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน
วัคซีนจะหยุดยั้งโอมิครอนได้ไหม? คำตัดสินออกมาแล้ว ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าวัคซีนที่มีอยู่ขณะนี้และวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือบูสเตอร์ช็อตอาจยังคงช่วยปกป้องเราจากเชื้อสายพันธุ์ใหม่นี้ได้
Published 13 October 2021 3:48pm
Updated 21 January 2022 2:39pm
By Biwa Kwan
Presented by Tinrawat Banyat, Parisuth Sodsai
Source: SBS News
Image: A woman receives a COVID-19 vaccination at the Australian Sikh Association pop-up clinic in Sydney in August. (Getty Images/SBS News)
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้โอมิครอน (Omicron) เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ เป็นเชื้อสายพันธุ์ที่น่ากับกังวล ท่ามกลางการตั้งข้อสงสัยที่อย่างกว้างขวางว่า วัคซีนที่มีอยู่นั้นอาจไม่สามารถต้านทานเชื้อสายพันธุ์ใหม่นี้ได้
อาจจำเป็นต้องมีวัคซีนสูตรใหม่ โดยไฟเซอร์กล่าวว่าบริษัทสามารถปรับเปลี่ยนวัคซีนที่มีอยู่ได้ภายใน 100 วัน และโมเดอร์นาประกาศว่า จะสามารถทำได้สำเร็จเช่นกันภายในต้นปี 2022
ในขณะที่ยังคงมีการพิจารณาประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ในการต้านทานเชื้อสายพันธุ์ใหม่ แต่เราจะ "ไม่กลับมาที่จุดเริ่มต้น" จากความเห็นของ ศ.เบรตต์ ซัตตัน ประธานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัฐวิกตอเรีย โดยวัคซีนที่มีอยู่ยังคงให้ "การป้องกันเชื้อสายพันธุ์เหล่านี้ได้ในระดับหนึ่งด้วย"
นาย เกร็ก ฮันต์ รัฐมนตรีสาธารณสุขของสหพันธรัฐได้เรียกร้องให้ประชาชนในออสเตรเลียได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือบูสเตอร์ช็อต (booster shots)
“เมื่อเราเห็นเชื้อสายพันธุ์ต่างๆ เช่น โอมิครอน และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเชื้อสายพันธุ์ใหม่ต่างๆ มากขึ้น แต่เรารู้ว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นจะช่วยให้เราปลอดภัย” เขาบอกกับผู้สื่อข่าวในเมลเบิร์นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
"โครงการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง"
ใครที่ต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
โครงการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต้านโควิด-19 ของออสเตรเลียเริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคม หลังจากที่นายฮันต์ประกาศว่ารัฐบาลจะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ก่อนใครสำหรับชาวออสเตรเลีย 500,000 คนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ รวมถึงผู้ที่เป็นมะเร็ง ผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องมาแต่กำเนิดอย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายนเป็นต้นไป วัคซีนเข็มกระตุ้นมีให้ฉีดได้สำหรับทุกคนที่อายุ 18 ปีและมากกว่า ที่ได้รับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ทั้ง 2 โดสแล้ว
ขณะนี้กลุ่มที่ปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับการสร้างภูมิคุ้มกันโรคแห่งออสเตรเลีย (Australian Technical Advisory Group on Immunisation หรือ ATAGI) ไม่ได้แนะนำการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ผู้ที่มีอายุ 12-17 ปี และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรงที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 แล้วเพื่อให้การฉีดวัคซีนโดสหลักมีประสิทธิภาพสมบูรณ์
People at the Boondall mass vaccination hub in Brisbane on 18 September 2021. Source: AAP
เมื่อไรที่ต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
สำหรับประชากรทั่วไป คำแนะนำของ ATAGI ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่คือ ขณะนี้สามารถรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นได้หลังฉีดวัคซีนเข็มที่สองไปแล้ว 4 เดือน และจะปรับเป็น 3 เดือนหลังวันที่ 31 มกราคม 2022 ขณะนี้ ผู้มีอายุ 17 ปีขึ้นไปที่ฉีดวัคซีนเข็มที่สองมาแล้วอย่างน้อย 4 เดือนสามารถรับวัคซีนเข็มกระตุ้นได้แล้ว และตั้งแต่ 31 มกราคมจะร่นลงอีกครั้งเป็น 3 เดือน ขณะที่ล่าสุดวิกตอเรีย นิวเซาท์เวลส์ เซาท์ออสเตรเลีย และควีนส์แลนด์ อนุมัติให้เริ่มร่นเวลารอฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเหลือ 3 เดือนหลังฉีดเข็มสองทันทีตั้งแต่ตอนนี้ เนื่องการระบาดหนักของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนอย่างต่อเนื่อง (ข้อมูล ณ วันที่ 21 มกราคม 2022)
ระยะห่างที่แนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มที่สามสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรงคือระหว่าง 2-6 เดือนหลังฉีดวัคซีนเข็มที่สองแล้ว
วัคซีนเข็มกระตุ้นทำงานอย่างไร
เทคโนโลยีวัคซีนที่อยู่เบื้องหลังวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้น คือวัคซีนโควิดชนิดเดียวกับที่คุณได้รับในโดสแรก และโดสที่สอง
ดร.เอมิลี เอ็ดเวิดส์ (Dr Emily Edwards) จากหน่วยงานด้านภูมิคุ้มกันและพยาธิวิทยา มหาวิทยาลัยโมแนช กล่าวว่า รากฐานสำคัญของวัคซีนบูสเตอร์ช๊อตนั้น มาจากความรู้ที่พัฒนาจากวัคซีนต่าง ๆ ในอดีต เช่น วัคซีนไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis) และวัคซีนไวรัสแพปพิลโลมาในมนุษย์ (HPV) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการสร้างภูมิคุ้มกันในโรงเรียนต่าง ๆ
“มันเป็นเรื่องของการสร้างรากฐาน แม้จะมีเทคโนโลยีเหล่านั้นอยู่แล้วหลายปี แต่นั่นคือกรณีของวัคซีนต่าง ๆ และเครื่องมือด้านภูมิคุ้มกันที่เราใช้ เพื่อดูว่าคุณตอบสนองกับวัคซีนและไวรัสแต่ละชนิดอย่างไร” ดร.เอ็ดเวิดส์ กล่าว
วัคซีนเข็มกระตุ้นนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาระดับภูมิคุ้มกันและการปกป้องจากวัคซีนที่ได้รับมาก่อนหน้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ขณะที่ ประสิทธิภาพของแอนติบอดีในร่างกายลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
"วัคซีนเข็มกระตุ้น หลังจากฉีดวัคซีนโดสที่สองไปแล้ว จะช่วยทำให้แน่ใจได้ว่าการปกป้องจากวัคซีนโดสแรกๆ นั้นแข็งแกร่งและยาวนานขึ้น และน่าจะช่วยป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสนี้ได้" นายฮันต์ กล่าวในเดือนตุลาคม
ควรฉีดวัคซีนตัวไหนเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น
ประชาชนในออสเตรเลียสามารถเข้าถึงวัคซีนเข็มกระตุ้นของไฟเซอร์และโมเดอร์นาได้ และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์กล่าวว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้นปลอดภัย โดยไม่เกี่ยงว่าคุณจะได้รับวัคซีนยี่ห้อใดมาก่อนสำหรับวัคซีนโดสหลักที่คุณฉีด
แม้ว่าจะแนะนำให้ฉีดวัคซีนยี่ห้ออื่นมากกว่า แต่คำแนะนำของ ATAGI คือวัคซีนแอสตราเซเนกาสามารถใช้ฉีดเป็นวัคซีนเข็มที่สาม (วัคซีนเข็มกระตุ้น) ได้ หากคุณได้ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกามาก่อนหน้านี้และไม่เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ
นอกจากนี้วัคซีนแอสตราเซเนกายังสามารถใช้ได้สำหรับผู้ที่มีอาการข้างเคียงที่มีนัยสำคัญหลังจากการฉีดวัคซีนประเภท mRNA ซึ่งวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาก็จัดอยู่ในวัคซีนประเภทนี้
จะจองฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นได้อย่างไร
การจองนัดหมายเพื่อฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือบูสเตอร์ซ็อต สามารถทำได้โดยการจองผ่านแพทย์ หรือจองผ่านเว็บไซต์ของรัฐบาลที่ วัคซีนเข็มกระตุ้นมีประสิทธิภาพแค่ไหน
Health workers at a drive-through COVID-19 vaccine hub in Melton in Melbourne on 9 August 2021. Source: AAP
นักวิทยาศาสตร์กำลังเร่งค้นหาว่าวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถป้องกันเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ได้หรือไม่
ไฟเซอร์กล่าวว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ฉีดหลังจากได้รับวัคซีนไฟเซอร์หลักแล้วสองเข็มอาจให้การปกป้องที่สำคัญต่อเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนได้ แม้ว่าวัคซีนเบื้องต้นสองโดสจะมีประสิทธิภาพลดลง
ไฟเซอร์ระบุว่า ขณะที่วัคซีนเบื้องต้นสองโดสอาจไม่สามารถปกป้องการติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างเพียงพอ แต่จากการทดลองในห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่มระดับของแอนติบอดีที่จะต่อสู้กับไวรัสให้สูงขึ้น 25 เท่า
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของเชื้อสายพันธุ์เดลตา วัคซีนยังคงสามารถปกป้องได้ในระดับสูงไม่ให้ต้องป่วยหนักจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและป้องกันการเสียชีวิต
ดร.เอ็ดเวิดส์ กล่าวว่า เมื่อออสเตรเลียเปิดพรมแดนอีกครั้ง และออกจากมาตรการล็อกดาวน์ แนวทางและเครื่องมือทางสาธารณสุขอื่น ๆ เช่น หน้ากากอนามัย และรักษาระยะห่างระหว่างกัน จะยังคงมีความจำเป็น แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนต้านโควิดนั้นจะยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งรวมถึงวัคซีนเข็มกระตุ้น
“หากคุณได้รับวัคซีนแล้ว เป็นไปได้ว่าคุณจะได้รับการปกป้องจากโควิด มากกว่าใครสักคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน มันจะยังมีการติดเชื้อเกิดขึ้นในบางครั้ง แต่นั่นหมายความว่า วัคซีนจะยังคงปกป้องคุณจากการติดเชื้ออย่างรุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ระดับโลกนี้”
ดร.ควินน์ กล่าวอีกว่า การศึกษาที่ประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศที่เริ่มฉีดวัคซีนโควิดให้ประชาชนอย่างรวดเร็ว และได้เริ่มต้นการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นก่อนหลายประเทศทั่วโลก แสดงให้เห็นว่า การติดเชื้อที่ลุกลามนั้น เกิดขึ้นในหมู่ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องและอ่อนแอ ที่ไม่ได้ตอบสนองต่อการฉีดวัคซีนโควิดครั้งที่ผ่านมา ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับประชาชนกลุ่มดังกล่าว
“(ในออสเตรเลีย) ประชาชนกลุ่มนี้คิดเป็น 2% จากทั้งประเทศ แต่ในกรณีของอิสราเอล พวกเขาคิดเป็น 40% จากประชากรทั้งหมดที่ได้รับการฉีดวัคซีน และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากเชื้อโควิด-19 มันจึงชัดเจนว่า เราจะต้องทำอะไรให้มากกว่านี้ เพื่อช่วยปกป้องประชาชนกลุ่มนี้จากโรคติดต่อที่มีความรุนแรง ดร.ควินน์ กล่าว
ดร.ควินน์ กล่าวอีกว่า ข้อมูลประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มกระตุ้นในอิสราเอลนั้น ยังคงต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดกว่านี้ แต่รายงานส่วนหนึ่งในกรณีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในกลุ่มประชาชนทั่วไป พบว่ามีผลโดยตรงกับอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
“และนั่นจะเป็นสิ่งมีเหตุผล เพราะวัคซีนเข็มที่ 3 จะเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองของภูมิคุ้มกันในทันที และมันอาจให้การป้องกันในทันที แต่เราก็ยังคงต้องดูว่าการปกป้องนั้นจะยาวนานเท่าใด” ดร.ควินน์ กล่าว
จะมีความเสี่ยงเรื่องผลข้างเคียงหรือเปล่า
ขณะที่วัคซีนเข็มกระตุ้นใช้วัคซีนตัวเดียวกับการฉีดวัคซีนโควิดครั้งก่อน มีคำแนะนำในส่วนของผลข้างเคียงว่าจะเป็นไปในทางเดียวกัน แต่หน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลกกำลังสังเกตการณ์ เพื่อดูว่าจะเกิดผลข้างเคียงในระยะยาวหรือไม่
“ข้อเท็จจริงก็คือ ในประเทศอื่น ๆ รวมถึงสหราชอาณาจักร มีความคืบหน้ามากกว่าออสเตรเลีย 6 เดือน ในส่วนของกฎเกณฑ์ของวัคซีน ซึ่งหมายความว่า เราจะได้รับข้อมูลในส่วนนี้เร็วขึ้น และจะสามารถตอบสนองในแง่ของเวลา และข้อกำหนดต่าง ๆ ของวัคซีนเข็มกระตุ้นได้” ดร.เอ็ดเวิร์ด กล่าว
ดร.ควินน์ กล่าวว่า มีการศึกษาวิจัยขนาดย่อมในส่วนของผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องและอ่อนแอ ที่ได้รับวัคซีนโดสที่ 3 และมีการศึกษาล่าสุด ในส่วนของผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับวัคซีนโดสที่ 3 อีกด้วย
“มีการศึกษาวิจัยที่ดีสำหรับผู้ป่วยในกลุ่มนี้ที่ชี้ว่า การได้รับวัคซีนโดสที่ 3 เกิดประโยชน์อย่างชัดเจน” ดร.ควินน์ กล่าว
เรามีวัคซีนเพียงพอสำหรับทุกคนหรือไม่
นายฮันต์กล่าวในเดือนตุลาคมว่า ออสเตรเลียเตรียมการอย่างดีที่จะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ประชาชน
“ด้วยวัคซีนไฟเซอร์ โนวาแวกซ์ และโมเดอร์นากว่า 151 ล้านโดสที่ได้เตรียมจัดหาไว้สำหรับในอนาคต ออสเตรเลียจึงมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ประชากรได้ ขณะผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ให้การอนุมัติ” นายฮันต์ กล่าว
ดร.สันจายา เซนานายาเค ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ในระดับสากลนั้นการอภิปรายเรื่องการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในประเทศร่ำรวย ได้เน้นย้ำถึงเรื่องไม่ความเท่าเทียมกันของการได้รับวัคซีน เพราะนั่นหมายถึงจัดหาวัคซีนโดสแรกและโดสที่สองให้แก่ประเทศที่กำลังพัฒนา
“สุดท้ายแล้ว หากเราได้รับการปกป้องไม่ให้เจ็บป่วยรุนแรงและไม่ให้ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล (ในออสเตรเลีย) เราก็ควรพยายามช่วยเหลือส่วนที่เหลือของโลก” ดร. เซนานายาเค กล่าว “เราจะต้องเสียสละเพื่อจะได้เห็นแก่ตัวได้เมื่อพูดถึงเรื่องโควิด-19 และการฉีดวัคซีน” เขากล่าวเสริม ซึ่งหมายถึงการสร้างภูมิคุ้นกันหมู่หรือการมีภูมิคุ้มกันทั่วทั้งประชากรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2021 และได้รับการปรับปรุงเนื้อหาล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2021
เนื้อหาเพิ่มเติมโดย: Shuba Krishnan, Akash Arora, Evan Young
หากคุณมีอาการของไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ให้ติดต่อขอรับการตรวจเชื้อได้ด้วยการโทรศัพท์ไปยังแพทย์ประจำตัวของคุณ หรือโทรศัพท์ติดต่อสายด่วนให้ข้อมูลด้านสุขภาพเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา (Coronavirus Health Information Hotline) ที่หมายเลข 1800 020 080
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
Share