รายงานฉบับใหม่ที่มีชื่อว่า Coming out of Covid-19 Lockdown: the Next Steps for Australian Health Care (ออกจากล็อกดาวน์ Covid-19: ก้าวต่อไปของงานด้านสุขภาพออสเตรเลีย) โดยสถาบันแกรตแทน (Grattan Institute) ซึ่งใช้แบบจำลองข้อมูลในการชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของการติดเชื้อครั้งใหม่ที่จะเพิ่มขึ้น จากการเปิดสถานที่อย่างร้านค้า โรงเรียน และสถานที่ทำงานอีกครั้ง และโดยเฉพาะหากผู้คนละเลยมาตรการทิ้งระยะห่างทางสังคม
รายงานฉบับดังกล่าวได้แนะนำว่า การจำกัดจำนวนผู้คนในสถานที่ทำงาน ร้านค้า และธุรกิจบริการต่าง ๆ นั้น จะยกเลิกได้ก็ต่อเมื่อผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่แสดงอาการนั้นหมดไปจากออสเตรเลีย ขณะที่สถานที่ทำงานนั้น ควรทยอยเปิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป และผู้คนควรทำงานอยู่ที่บ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อจำกัดความเป็นไปได้ในการแพร่กระจายของไวรัสนี้ขณะที่นักคิดต่างสนับสนุนมาตรการกักกันโรคผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศแบบภาคบังคับ และได้ขอให้มาตรการดังกล่าวมีการบังคับใช้ต่อไป
The report urged 'as many people as possible' to continue to work from home. Source: AAP
ดร.สตีเฟน ดักเกตต์ (Stephen Duckett) ผู้อำนวยการโครงการจากสถาบันแกรตแทน กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านไปยังความปกติใหม่ (new normal) ไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่าจะมีการค้นพบวัคซีนหรือหนทางรักษา
“การที่ผู้คนคิดว่าการต่อสู้กับไวรัสนี้จบลงแล้วนั้น เป็นเรื่องอันตราย” ดร.ดักเกตต์ กล่าว
“ธรรมชาติของไวรัสนี้ไม่ได้เปลี่ยนไป พฤติกรรมของผู้คนต่างหากที่เปลี่ยนแปลง หากชาวออสเตรเลียกลับไปเป็นเหมือนปกติ เช่นเดียวกับก่อนเกิดวิกฤตไวรัสโควิด-19 ไวรัสนี้จะแพร่กระจายอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น ๆ”
รายงานฉบับดังกล่าวยังได้แนะนำว่า ควรปิดโรงเรียนหากพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายที่ขณะนี้หลายรัฐได้ยึดหลักปฏิบัติตาม นอกจากนี้ นายดักเกตต์ ยังกล่าวอีกว่า บริการด้านสุขภาพทางโทรศัพท์ (telehealth) ควรเป็นส่วนหนึ่งของบริการด้านสุขภาพอย่างถาวร โดยเป็นไปในลักษณะที่ไม่ขัดขวางความต่อเนื่องในการให้บริการ
“หากไม่มีการวางแผนที่ดีในระยะเปลี่ยนผ่าน เราก็เสี่ยงที่จะมีการระบาดระลอกสอง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่เราจะไม่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงด้านระบบบริการสุขภาพ ที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดใหญ่” ดร.ดักเกตต์ กล่าว
“นั่นจะเป็นอีกโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้น นอกเหนือจากความบอบช้ำที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว”
ดร.ดักเกตต์ กล่าวว่า จะมีความต้องการบริการด้านสุขภาพจิตที่เพิ่มมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดใหญ่ ดังนั้นจึงควรมีแนวทางการแก้ปัญหา โดยใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยระบบที่มีความแออัดนี้
“การใช้บุคลากรด้านสุขภาพซึ่งไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่ได้รับการสนับสนุนโดยเทคโนโลยีดิจิทัล อาจเป็นอีกหนทางหนึ่งในการปรับปรุงการดูแลรักษาผู้มีปัญหาด้านสุขภาพจิตได้” ดร.ดักเกตต์ กล่าวทั้งนี้ รายงานฉบับดังกล่าวได้มีการเผยแพร่ หลังจากที่รัฐบาลรัฐวิกตอเรียได้ประกาศว่าจะมีการขยายเวลาประกาศภาวะฉุกเฉินไปอย่างน้อยอีก 4 สัปดาห์ จนถึงวันที่ 19 ก.ค.นี้ หลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบมากกว่า 2 เดือน
Source: AAP
จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในรัฐวิกตอเรีย ทำให้รัฐเซาท์ออสเตรเลียอาจต้องทบทวนการเปิดชายแดนระหว่างรัฐวิกตอเรีย ขณะที่รัฐควีนส์แลนด์ได้ประกาศให้พื้นที่ตอนในของนครเมล์เบิร์นทั้งหมด (Greater Melbourne) เป็นจุดที่มีความเสี่ยงของไวรัสโคโรนา และจะบังคับให้ชาวรัฐควีนส์แลนด์ที่เดินทางกลับมาจากพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมด ต้องได้รับการกักกันโรคแบบภาคบังคับ
ประชาชนในออสเตรเลียต้องอยู่ห่างกับผู้อื่นอย่างน้อย 1.5 เมตร คุณสามารถตรวจดูว่ามีข้อจำกัดใดบ้างที่บังคับใช้อยู่ในรัฐและมณฑลของคุณ
การตรวจเชื้อไวรัสโคโรนาขณะนี้สามารถทำได้ทั่วออสเตรเลีย หากคุณมีอาการของไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ให้ติดต่อขอรับการตรวจเชื้อได้ด้วยการโทรศัพท์ไปยังแพทย์ประจำตัวของคุณ หรือโทรศัพท์ติดต่อสายด่วนให้ข้อมูลด้านสุขภาพเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา (Coronavirus Health Information Hotline) ที่หมายเลข 1800 020 080
รัฐบาลสหพันธรัฐออสเตรเลียยังได้มีแอปพลิเคชัน COVIDSafe เพื่อติดตามและแจ้งเตือนผู้ที่พบปะใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดมาใช้ได้จากแอปสโตร์ (app store) สำหรับโทรศัพท์มือถือของคุณ อ่านเกี่ยวกับแอปพลิเคชันนี้
รายการ เอสบีเอส ไทย ออนไลน์ ออกอากาศสดหนึ่งชั่วโมงเต็ม กดฟังได้ที่เว็บไซต์ ทุกจันทร์และพฤหัสบดี 22.00 น. (เวลาซิดนีย์/เมลเบิร์น) หลังจากนั้นฟังซ้ำได้ทุกเมื่อ
ติดตาม เอสบีเอส ไทย ทางเฟซบุ๊กได้ที่
เรื่องราวที่น่าสนใจจาก เอสบีเอส ไทย
รัฐวิกตอเรียประกาศใช้มาตรการสกัดโควิดอีกครั้ง